Thursday 31 March 2016

ยามเมื่อเชอรีบาน - Le Temps des Cerises



เพลง Le Temps des Cerises นี้ผู้ที่เคยศึกษาภาษาฝรั่งเศสเคยได้ยินกันมาแล้วแน่นอน  เพลงที่เราฟังหวานๆ ทำนองเรื่อยๆ เอื่อยๆ เยือกเย็นเหมือนลมพัดโชยมาในต้นฤดูใบไม้ผลิ แท้ที่จริงดั้งเดิมที่มาดุเดือด คุกกรุ่นด้วยคาวเลือด เพราะแต่งขึ้นในยามที่กรุงปารีสกำลังเผชิญชะตากรรมแบบสงครามกลางเมือง ที่เป็นเหตุการณ์ปฏิวัติที่เรียกกันว่า La Commune de Paris [ ลา ก็อมมูน เดอ ปารี ] ปี 1871. เหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นที่ปารีส(เป็นสงครามกู้อิสรภาพ เพื่อความเสมอภาคภายในสังคมฝรั่งเศสเอง และมีนักศึกษาทั้งหลายเข้าร่วมเป็นอันมาก ) เป็นพื้นหลังของวรรณกรรมเรื่อง Les Misérables ของ Victor Hugo ที่ Claude-Michel Schönberg นำมาแต่งเป็นละครเพลงที่โด่งดังไม่รู้จืดจางมาจนถึงทุกวันนี้ (ตั้งแต่รอบปฐมฤกษ์เมื่อวันที่ 8 ตุลาคมปี 1985 และยังมีการแสดงต่อมามิได้หยุด นี่ก็ 30 ปีแล้ว) เพลงต่างๆในละครเพลงนี้ก็ยังคงร้องกันมาอย่างต่อเนื่อง เช่น I dreamed a dream, The People’s song, A Heart full of love, etc. วรรณกรรมเรื่องนี้ สำหรับข้าพเจ้าเป็นมหากาพย์แห่งชีวิตมนุษย์. กี่ปีผ่านไปแล้ว เหตุการณ์ทำนองเดียวกัน การกดขี่ข่มเหง ความไม่เสมอภาคยังคงอยู่เสมอ อย่างเปิดเผยหรือแอบแฝง ณมุมใดมุมหนึ่งบนโลกมนุษย์นี้. What a shame! Shame on humanity! หากใครไม่ได้ดู ควรสละเวลาสักสามชั่วโมงดูได้ที่ลิงค์นี้ (เป็นภาษาอังกฤษ) วรรณกรรมของ V.Hugo รวมทั้งละครเพลงเรื่องนี้ มีการแปลออกเป็นหลายสิบภาษา. ดูละครเพลงได้ที่นี่ที่แสดงเป็นรอบพิเศษที่ Royal Albert Hall หลังจากที่แสดงบนเวทีที่ลอนดอนติดต่อกันมา 10 ปี. ดูจนจบถึงนาทีสุดท้าย มีนักร้องโอเปร่าที่แสดงเป็น Jean Valjean ตัวละครเอกของเรื่องจากประเทศต่างๆมาร่วมร้องในตอนจบเป็นภาษาต่างๆ >>>.
        
กลับมาที่ Le Temps des Cerises ยามเมื่อเชอรีบาน. Jean Baptiste Clément [ฌ็อง บาติ๊สตฺ เกฺลม็อง ] (1836-1903) แต่งเนื้อเพลงนี้ในปี 1866. เพลงนี้สรุปกันว่าสืบเนื่องและเกี่ยวโยงอย่างใกล้ชิดกับเหตุการณ์ปฏิวัติที่รู้จักกันในนามว่า La Commune de Paris ที่เกิดขึ้นในปี 1871.  J.B. Clément เป็นผู้หนึ่งในกระบวนการต่อสู้นั้นในระหว่าง “สัปดาห์นองเลือด” (la Semaine sanglante) ที่ปารีส. เขาแต่งเพลงนี้ขึ้นบนเส้นทางสู่เบลเยี่ยมและได้หยุดพักที่หมู่บ้าน Conchy-la-Saint-Niçaise  บ้านที่เขาไปพักนั้นมีต้นเชอรี่ปลูกทั่วบริเวณ และได้ดลใจเขา.  หลายปีต่อมาผู้แต่งได้อุทิศเพลงนี้แก่นางพยาบาลคนหนึ่งที่เขาได้พบระหว่างการต่อสู้ช่วงสัปดาห์นองเลือดที่ปารีส. เขาเขียนเจาะจงอุทิศเพลงนี้ไว้ดังนี้ : แก่ Louise [ลุยเสอะ] ผู้กล้าหาญ พลเมือง นางพยาบาลประจำรถพยาบาลที่ถนน Fontaine-au-Roi [ฟงแตน-โอ-รัว] วันอาทิตย์ที่ 28 เดือนพฤษภาคมปี 1871.  วันนั้นวันอาทิตย์ที่ 28 พฤษภาคม 1871…ระหว่างเวลาสิบเฮ็ดนาฬิกาและเที่ยงวัน ข้าพเจ้าและพรรคพวกเห็นหญิงสาวอายุอยู่ในราวยี่สิบ-ยี่สิบสอง เธอถือตะกร้าขนมปังในมือมาหาเรา..และแม้เราจะไม่ยอมให้เธออยู่ร่วมในกลุ่มกับเรา เธอยืนกรานความตั้งใจและไม่ยอมจากพวกเราไป. ในที่สุด ห้านาทีผ่านไป เธอมีประโยชน์แก่เรามาก. สมาชิกของเราสองคนบาดเจ็บ คนหนึ่งถูกยิงที่ไหล่ อีกคนหนึ่งถูกยิงตรงหน้าผาก... เรารู้เพียงว่า เธอชื่อ Louise และเธอเป็นคนงาน. ชัดเจนว่า เธออยู่ฝ่ายพวกปฏิวัติ ฝ่ายคนที่หมดอาลัยตายอยากกับรัฐบาล กับสังคมที่ไร้ความยุติธรรมที่ปารีส. เกิดอะไรขึ้นกับเธอไหมนะ? เธออยู่ในหมู่คนจำนวนมากที่ถูกกองทหารรัฐบาลยิงตายไปหรือเปล่านะ ? เช่นนี้ ข้าพเจ้าต้องอุทิศเพลงนี้ เพลงที่นิยมแพร่หลายที่สุดในอัลบั้มเพลงของข้าพเจ้าให้แก่เธอผู้เป็นวีรสตรีที่ไม่มีใครรู้จัก... วันนั้นวันที่ 28 พฤษภาคม 1871 ที่เขาและ Eugène Varlin กับ Charles Ferré ไปอยู่หลังแนวเครื่องกีดขวางที่ฝ่ายปฏิวัติ (communards) รวมกันทำขึ้นเพื่อเป็นด่านป้องกันและเป็นที่กำบังภัยของพวกปฏิวัติ. วันนั้นเพื่อนทั้งสองของเขาถูกยิงตายที่นั่น. เมื่อ Antoine Renard [อ็องตวน เรอนารฺ ] (1825-1872) ประพันธ์ทำนองเพลงให้ในปี 1868. เพลง Le Temps des Cerises ได้กลายเป็นเพลงประจำกลุ่มปฏิวัติ (communards) และเป็นเพลงประจำใจของเหล่าคนงาน ของชนชั้นกรรมกร.


      อย่างไรก็ดี มีนักวิจารณ์กล่าวว่า คำอุทิศดังกล่าวอาจไม่จำเพาะเจาะจงสำหรับหญิงสาวที่ชื่อ Louise เพราะเมื่อพิจารณาเนื้อเพลง ไม่มีการเจาะจงที่ชัดเจนเพียงพอ แม้จะพูดถึง บาดแผลเหวอะหวะ, ความทรงจำที่ผมเก็บไว้ในดวงใจ, เชอรีของความรัก...ที่ร่วงลงเป็นหยดเลือด. คำพูดเหล่านี้อาจทำให้นึกถึงการปฏิวัติที่ล้มเหลวเหมือนการสูญเสียความรักไป. เช่นนี้จึงเอื้อให้คนนึกถึงวิธีการประพันธ์ที่ต้องการพูดถึงการปฏิวัติแต่หลีกเลี่ยงการกล่าวถึงตรงๆ. เชอรีเหมือนกระสุน ผลแดงเงางาม ผลอวบ เหมือนหญิงสาวสวยๆที่ควรหลีกเลี่ยง. การที่เพลงนี้ตรงกับเหตุการณ์ของ “สัปดาห์นองเลือด” ปลายเดือนพฤษภาคมปี 1871 นั้น ตรงกับวันเวลาที่ดอกเชอรีบาน. แต่เมื่อดูปีที่ประพันธ์ (1866) ทำให้รู้ว่าการวิเคราะห์เปรียบโยงดังกล่าวนั้น ทำขึ้นในภายหลัง. จึงอาจเป็นเพลงที่พูดถึงฤดูใบไม้ผลิและความรัก (โดยเฉพาะในบทสุดท้ายของเพลงที่เจาะจงความทุกข์จากความรัก). เชอรียังอาจทำให้นึกถึงความหวานและฤดูร้อนอันเป็นบริบทที่สดชื่นสนุกสนาน. ดังนั้นเพลงนี้จึงสื่อทั้งการระลึกถึงความหลังหนึ่งและความสุขเบิกบานขณะหนึ่ง.
      หากพิจารณาเนื้อหาที่เป็นกลาง, ที่กระตุ้นให้คิด, ที่เศร้าๆและโดยเฉพาะคุณภาพของบทกวีตามเนื้อหาแท้ๆของมันแล้ว ประเด็นเหล่านี้น่าจะเป็นกุญแจของความนิยมเพลงนี้. ชาวฝรั่งเศสรู้จักพลงนี้มากกว่าชื่อนักประพันธ์ด้วยซ้ำ และมีการแปลออกเป็นหลายภาษาทั้งภาษารัสเซีย ภาษาโรเมเนีย ภาษาจีน ญี่ปุ่นเป็นต้น
       ถ้าเพลง Le Temps des Cerises ได้เริ่มขึ้นด้วยการเป็นเพลงปฏิวัติ ในปัจจุบันเป็นเพียงเพลงรักน่ารักๆเพลงหนึ่งเท่านั้น ที่ยังคงเป็นที่นิยมกันเรื่อยมาไม่เสื่อมคลาย. ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ยี่สิบ มีนักร้องหลายคนได้นำไปร้อง. ในจำนวนนี้มี Yves Montand, Tino Rossi, Charles Trenet, Nana mouskouri เป็นต้น
      เนื้อเพลง Le Temps des Cerises (หรือ ยามเมื่อเชอรีบาน ) อยู่ในอัลบั้มเพลง Chansons Populaires de France (เพลงยอดนิยมของฝรั่งเศส) ที่ออกมาในปี 1963.
Quand nous chanterons le temps des cerises,
Et gai rossignol, et merle moqueur
Seront tous en fête !
Les belles auront la folie en tête
Et les amoureux du soleil au cœur !
Quand nous chanterons le temps des cerises
Sifflera bien mieux le merle moqueur !
เมื่อเราจะร้องเพลงยามเมื่อเชอรีบาน นกไนติงเกลที่ร่าเริง (กับ) นกดุเหว่าที่เย้ยหยัน ต่างก็มาร่วมวงเฉลิมฉลอง. พวกสาวสวยอาจหลงใหลเคลิบเคลิ้ม พวกคนรักรู้สึกอบอุ่นที่หัวใจเหมือนต้องแดดอ่อนๆ. เมื่อเราจะร้องเพลงยามเมื่อเชอรีบาน  นกดุเหว่าจะส่งเสียงเสนาะหูขึ้น..
Mais il est bien court, le temps des cerises
Où l'on s'en va deux cueillir en rêvant
Des pendants d'oreilles...
Cerises d'amour aux robes pareilles,
Tombant sous la feuille en gouttes de sang...
Mais il est bien court, le temps des cerises,
Pendants de corail qu'on cueille en rêvant !
แต่ยามเมื่อเชอรีบานนั้นแสนสั้น ยามเมื่อเราสองไปเด็ดผลเชอรีที่ห้อยลงเหมือนตุ้มหู ผลเชอรีของรักเราที่เป็นประกายเงางาม เมื่อนั้นเราสองเหมือนอยู่ในความฝัน. ผลเชอรีที่ตกลงใต้กองใบไม้ เหมือนหยดเลือด. แต่ยามเมื่อเชอรีบานั้นแสนสั้น ผลเชอรีที่ห้อยๆอยู่เหมือนปะการังที่เราเก็บมาในความฝัน
     Quand vous en serez au temps des cerises,
Si vous avez peur des chagrins d'amour,
Evitez les belles !
Moi qui ne crains pas les peines cruelles
Je ne vivrai pas sans souffrir un jour...
Quand vous en serez au temps des cerises
Vous aurez aussi des chagrins d'amour !
หากคุณอยู่ในยามเมื่อเชอรีบาน หากคุณกลัวจะเสียใจเพราะความรัก ก็อย่าไปใกล้สาวๆสวยๆนะ แต่ผมผู้ไม่กลัวความทุรนทุรายเพราะรัก ผมไม่อยากอยู่แม้สักวันเดียวโดยไม่เจ็บไม่ทุกข์เพราะรัก. หากคุณอยู่ในยามเมื่อเชอรีบาน คุณเองก็จะมีทุกข์เพราะรักเหมือนกัน !
J'aimerai toujours le temps des cerises,
C'est de ce temps-là que je garde au cœur
Une plaie ouverte !
Et dame Fortune, en m'étant offerte
Ne saurait jamais calmer ma douleur...
J’aimerai toujours le temps des cerises
Et le souvenir que je garde au cœur !
Jean-Baptiste Clément (1866)
ผมชอบ ยามเมื่อเชอรีบาน เสมอ อะไรๆที่เกิดขึ้นในยามนั้น ผมเก็บมันไว้ในดวงใจ แม้จะเป็นแผลที่เปิดเหวอะหวะ และแม้เมื่อโชคลาภมอบยาสมานแผลให้ผม มันก็มิอาจบันเทาความเจ็บปวดลงไปได้ ผมจะยังคงชอบยามเมื่อเชอรีบาน และความทรงจำต่างๆจากยามนั้นที่ฝังอยู่ในดวงใจ
เชิญฟังเพลงนี้ ขับร้องโดยสองนักร้องชื่อดัง จากที่นี่ >>
(เสียงของ Yves Montand)
(เสียงของ Nana Mouskouri)


ทั้งการต่อสู้ของชาวปารีส (la Commune de Paris) และการต่อสู้ของเอกบุคคลที่ตระหนักและยอมรับในสภาวะของความเป็นคน ที่ต้องผ่านการแพ้ ความสูญเสีย ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานประเภทต่างๆในชีวิต คนล้มลุกคลุกคลานตั้งแต่เกิดจนตาย มีความสุขก็เพียงชั่วประเดี๋ยวประด๋าว. แต่มีคนที่ไม่เคยละความพยายาม ไม่ยอมพ่ายแพ้ต่อชะตากรรม ยืนหยัดสู้ชีวิตต่อไปด้วยความกล้าหาญจนถึงลมหายใจสุดท้าย.  คนเหล่านี้มีอำนาจ มีพลังที่ประคับประคองมนุษยชาติเรื่อยมา ที่ทำให้ทุกคนตระหนักว่า แม้จะสู้เงียบๆอยู่ในมุมของตนเอง เขาไม่ได้ทุกข์อยู่คนเดียว ยังมีเพื่อนร่วมทุกข์อีกจำนวนมาก. คนยังจะเกิด ยังจะตายอีกหลายหมื่นหลายแสนปี และมนุษย์ยังจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของมนุษย์ผู้เป็น คนเหนือคน ที่มาสะกิด มาให้กำลังใจ มาหนุนศักดิ์ศรีของความเป็นคนให้ปรากฎต่อไป แม้ว่าศักดิ์ศรี ความรัก ความงามหรือความดีใดๆ จะเป็นเพียงสิ่งสมมุติ เป็นมารยาทางโลก แต่จนกว่าทุกคนจะหลุดไปจากวัฏสงสารได้ทั้งหมด โลกยังต้องการศักดิ์ศรี ความรัก ความดี ความงามและความยุติธรรมในสังคม.   

รวบรวมข้อมูลจากหน้าต่างๆในอินเตอเน็ตเช่นในหน้าของวิกิพีเดีย และในเพ็จนี้ >>

โชติรส โกวิทวัฒนพงศ์ บันทึกความทรงจำไว้ ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙.

3 comments:

  1. กำลังใจคือพรอันพิเศษที่มนุษย์ตัวเล็กๆต้องการ
    ขอบคุณพี่โชติรสที่รวบรวมเรียบเรียงและเสนอมุมมองใหม่จากที่เคยรู้มาบ้างก่อนหน้านี้

    ReplyDelete
  2. This comment has been removed by the author.

    ReplyDelete
    Replies
    1. เอ ! เขียนลงไปแล้ว แต่ข้อความถูกตัดหายไปครึ่งหนึง จึงลบออก. ลองใหม่อีกทีนะ
      เราต้องขอบคุณฟ้าดิน ที่มี "คนเหนือคน" ผู้ไม่ยอมพ่ายแพ้แก่ชะตากรรมของการเป็นมนุษย์ที่รู้ทั้งรู้ว่า หนทางข้างหน้านั้น ไม่มีอะไรอื่น นอกจากความตายที่รอคอยอย่างสงบและอดทน. เราได้กำลังใจจากคนเหล่านั้น ที่ช่วยให้เราทำเส้นทางชีวิตของเราเองให้ดีที่สุดที่จะเป็นได้ ก่อนสวมกอดความตายเพื่อนร่วมชีวิตที่เราพยายามไม่นึกถึง.

      Delete