Saturday 11 June 2016

ขอให้ดอกไม้นี้สะกิดใจ... Let this flower bloom to honour...

หลังจากที่เพื่อนสองกลุ่มกลับไป ข้าพเจ้าพักผ่อนอยู่ที่โตเกียว ๖ คืน ตั้งใจจะไปชมพิพิธภัณฑ์สองสามแห่ง และไปสวนอีกสองสามแห่ง  ได้ไปตามที่ตั้งใจแต่ไปไม่ครบทุกแห่ง เพราะหมดแรง. การไปอยู่โตเกียวนั้น เป็นการคำนวณที่ผิดพลาด เพราะเมืองหลวงใหญ่ขนาดนั้น ผู้คนมากมายทุกเวลา ไปไหนทีก็ต้องขึ้นๆลงๆสถานีรถใต้ดิน ถูกเบียดถูกเสียด ไม่สบายตัวหรือผ่อนคลาย. แต่ในเมื่อจองโรงแรมแล้ว ก็ต้องอยู่ไป. อยู่ในห้องนานกว่าที่ใด คุ้มราคาห้อง ทั้งๆที่ห้องเล็กนิดเดียว.. ปีก่อนๆเคยไปพักที่นั่น คืนหนึ่งแผ่นดินไหว เห็นกำแพงมุมห้องเอนไปยี่สิบสามสิบองศา นึกว่าเสร็จแล้ว แต่นี่เรื่องเล็กมากในญี่ปุ่น จึงกลับไปพักที่นั่นอีกปีนี้ ตึกไม่ถล่มแน่ถ้าไม่ใช่แผ่นดินไหวขนาด 6-7 ตาม Richter Scale. ปีนี้แผ่นดินไหวอีกที่โตเกียว กำลังนอน เตียงสั่นรุนแรง ลุกขึ้นใส่ถุงเท้า เผื่อจะวิ่งหนีเพราะรู้จักตัวเองดีว่า เดินเท้าเปล่าไม่ได้ไกล เกือบสวมรองเท้านอน..แต่ทำใจได้ซะก่อน. สวดมนตร์ดีกว่า เพื่อให้สมาธิไปอยู่ที่ความหมายของคำบาลีในบทสวด..
       จากโตเกียวย้ายไปอยู่ที่เมือง Omiya (จังหวะ Saitama さいた) ไม่ไกลจากโตเกียว ไปไหนมาไหนก็สะดวก รถไฟชินกันเซ็งบางคันจอดที่เมืองนี้ ห่างจากโตเกียวไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ที่เลือกไปที่นั่น เพราะตั้งใจจะไปชมพิพิธภัณฑ์บ็อนไซ. แล้วจะเล่าต่อไปในโอกาสหน้า และกะจะไปเดินเขาสักวันด้วยการไปเริ่มจากชุมชนเล็กๆชื่อ Minano 皆野. เย็นก่อนวันที่จะไปเดินเขา เข้าไปที่สถานีรถไฟ Omiya เพื่อสำรวจเส้นทางรถไฟ. ยืนมองแผนผังเส้นทางเดินรถไฟของ JR (Japan Railways) ที่ติดบนกำแพงเป็นแผงใหญ่เหนือแนวเครื่องซื้อตั๋วอัตโนมัติ แผงเส้นทางรถไฟเจาะจงทุกสถานีพร้อมราคาที่ต้องเสียจากสถานีนั้นไปยังจุดหมาย. มีตัวเลขบอกราคาสองตัว ตัวบนเป็นราคาสำหรับผู้ใหญ่และตัวล่างสำหรับเด็ก. ยืนจ้องมองแผนผังเส้นทางและสถานีทุกสถานีอยู่สามรอบ ก็หาชื่อสถานี Minano ไม่เจอ เลยเดินไปที่ออฟฟิสขายตั๋วที่มีเจ้าหน้าที่ขาย. เห็นหญิงสาวเจ้าหน้าที่ของ JR กำลังจัดวางเอกสารแผ่นพับโฆษณาการท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆด้วยบริการรถไฟ JR  จึงเดินเข้าไปถาม บอกว่าหาชื่อสถานี Minano ไม่พบบนแผนผัง คุณเธอพูดย้ำงงๆว่าชื่ออะไรนะ แล้วก็หยิบไอโฟนขึ้นมาจิ้มไปจิ้มมาอยู่ห้านาที แล้วพูดว่า Minano ไม่อยู่บนเส้นทางการเดินรถของสาย JR  แล้วก็จิ้มต่อไปอีกห้านาที บอกว่า จาก Omiya ไปสถานี JR Kumagaya ได้ แล้วไปต่อรถไฟหวานเย็น (local) ไปเมือง Minano.  เราเข้าใจทันที Minano อยู่ในเขตอำเภอ Chichibu ข้อมูลจากเว็ปบอกว่า มีรถบัสจาก Minano พาไปถึงทุ่งดอกป็อปปี้ที่เราจะไป เป็นรถบัสฟรีด้วย. เราพูดต่อว่าจะไปชมทุ่งดอกป็อปปี้. คุณเธอทำหน้างง ว่าทุ่งป็อปปี้ทุ่งไหนกัน ไม่เคยได้ยิน. แต่ก็ก้มลงจิ้มไปจิ้มมาบนไอโฟนของเธออีกห้านาที แล้วเงยหน้าบอกว่า เจอแล้ว มีจริง เป็นครั้งแรก เธอยังไม่เคยรู้และไม่เคยไป. เราปากเปราะ(วิญญาณชายเข้าสิง) ชวนคุณเธอว่า ถ้างั้นพรุ่งนี้ไปด้วยกันไหมล่ะ. เธอหัวเราะแก้มแดง ไม่ตอบ. แต่มองลงที่จอเล็กๆบนไอโฟนของเธอแล้วพูดว่า พรุ่งนี้ไปดีที่สุด ดอกไม้บานแล้ว และอากาศสดใส ไม่มีฝนชื่นชมความพร้อมของเจ้าหน้าที่ JR คนนั้น ที่สละเวลาหาข้อมูลให้เราเป็นการส่วนตัวจากไอโฟนของเธอเองอย่างตั้งอกตั้งใจอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง จะมีเจ้านายเห็นไหมน๊า ว่าคนของเขาบริการดีด้วยใจเพียงใด.
       วันรุ่งขึ้น (21 May 2016) ก็ตรงไปซื้อตั๋วจากเครื่องอัตโนมัติ นั่งรถไฟที่มีให้ในเวลานั้น (เป็นสายหวานเย็น)เหมือนกัน นั่งอยู่เกือบชั่วโมงจึงไปถึงเมือง Kumagaya  ตลอดเส้นทางผ่านบ้านเรือนและทุ่งนาทุ่งผัก ไม่เห็นดอกป็อปปี้สักดอก ไปถึงออกจากสถานีสาย JR ข้ามไปยังสถานีสาย Seibu Chichibu line ซื้อตั๋วใหม่ แล้วไปขึ้นรถไฟ มีผู้คนมาก แต่นั่งไปๆคนลงไปเรื่อยๆ จนเหลือไม่กี่คนในตู้ที่เรานั่ง. สองฝั่งทางรถไฟขบวนที่สองนี้ ก็ไม่เห็นดอกป็อปปี้สักดอก. นั่งอยู่อีกนานเป็นสามสิบสี่สิบนาที กว่าจะถึงสถานี Minano  มีคนลงสถานีเดียวกันราวสิบคน. เอ! แล้วผู้คนหายไปไหนกันหมด. ออกจากสถานี เห็นป้ายชี้ทางไปขึ้นรถบัส สิบคนที่มาขบวนเดียวกันเดินตรงไปตามลูกศรชี้.  เราเห็นหน้าสถานี มีอู่จอดรถแท็กซี่ หลายคันจอดอยู่ในนั้น ดูเหมือนจะพร้อมรับผู้โดยสาร. ความตั้งใจว่าจะนั่งแท็กซี่ไปถึงทุ่งป็อปปี้เลย จะได้ไม่เสียเวลา เพราะกว่าจะไปถึงสถานีนั้นก็เกือบสองชั่วโมงแล้ว แต่เห็นทุกคนเดินไปทางรถบัสที่ยังมองไม่เห็นป้ายจากหน้าสถานี ก็เดินตามไปสำรวจพื้นที่ให้รู้ชัดเจนไว้ก่อน. เดินไปสักร้อยสองร้อยเมตรกว่าๆ เห็นคิวคนคอยรถเมล์ ทุกคนไปยืนต่อคิว เราก็ต้องไปยืนมั่ง. ไม่มีใครเห็นว่า ป้ายรถเมล์จริงๆหรือต้นคิวอยู่ที่ไหน เพราะเป็นหางคิวที่อ้อมมุมตึกมา. ต่างอยากรู้เหมือนกันว่า ต้นคิวอยู่ที่ไหน. ดังคาดไม่ผิด ต้องมีสักคนอยากรู้จนเดินไปดู.  คนหนึ่งเดินออกจากคิวอ้อมตึกไปดู แล้วกลับมาบอกว่า คนมาก!  แล้วก็เดินยืนในคิวต่อไป ไอ้เราอยากจะเดินออกจากคิวไปขึ้นรถแท็กซี่ ก็ออกจะตะขิดตะขวงใจไม่น้อย เหมือนสบประมาทคนอื่นๆที่ตั้งตาตั้งใจคอยในความสงบ จึงยืนต่ออยู่ในคิว. สักสิบนาทีมีรถบัสเล็กมาคันหนึ่ง มีคนลง(คนกลับจากทุ่ง)ไม่กี่คน. เจ้าหน้าที่เรียกคนต้นคิวไปขึ้นรถบัสนั้น 25 คน เพราะมีที่นั่งเท่านั้นบนรถ แปลกใจว่าเขาไม่ให้ใครยืนบนรสบัสเล็กนั้น. คันแรกจากไป อีกสามสิบนาที คันที่สองมา รับไปอีก 25 คน. แถวร่นขึ้นไปเรื่อยๆ. นับคนที่เหลือ เราได้ไปคันที่สามแน่แล้ว. คันที่สามมา เห็นเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบเรื่องขึ้นลงรถบัสคุยกัน แล้วประกาศว่า คันนี้ไม่รับผู้โดยสาร ต้องไปที่อื่น. คอยอีกสามสิบนาที คันที่สี่มาถึง เจ้าหน้าที่มาเก็บเงินคนละ 200 เยนพร้อมให้ตั๋ว. เอ! อินเตอเน็ตบอกว่าฟรีนี่. แต่ยืนคอยมาจนถึงเวลานั้นแล้ว จะถอยเพราะ 200 เยนรึ? ควักจ่ายไปโดยดี. เป็นอันว่าได้ขึ้นคันที่สี่. น้าเจ้าหน้าที่ขึ้นมาพูดอะไรบนรถ เสียงหนักๆ หน้าขรึม ฟังแต่น้ำเสียง ก็รู้สึกได้ว่า น่าจะมีอะไรที่ต้องระแวดระวัง. เอาเถอะ! ไหนๆก็ขึ้นนั่งบนรถแล้วกับอีก 24 ชีวิต. Here’s a heart for every fate! (survived earthquake มาแล้วไง) 
      รถบัสเล็กก็วิ่งไม่หยุดตั้งแต่จุดนั้น พาวนขึ้นไปบนเขา วนไปวนไป นึกถึงการขึ้นดอยตุงว่า เส้นทางแบบเดียวกัน ทางเล็กแคบ พื้นที่สูงชัน. เข้าใจแล้วว่าทำไมเขาไม่ให้มีคนยืนบนรถบัสเล็กนั้น. สองข้างทางเป็นสีเขียวของป่าไม้ ยังไม่เห็นอะไรแดงๆเลย. นั่งวนอยู่อีกสามสิบนาที พอใกล้จุดหมายจึงเห็นกอดอกป็อปปี้บ้าง และเมื่อไปถึงปลายทาง ตากวาดไปบนพื้นที่หนึ่งร้อยแปดสิบองศา บอกกับตัวเองว่า แห๊ม! มันต้องอย่างนี้!
      เชิญชมภาพ. ขอบอกว่า วันอากาศครึ้มๆน่าจะสบายกว่า เพราะเพื่อนเอ๋ย ไม่มีร่มเงาไม้ใดๆเลย จะไปหลบใต้ต้นป็อปปี้ก็ไม่ได้. วันนั้นปิติยินดีนักที่มีหมวกแก๊ปเจ็ดพันเยนติดตัวไป รู้สึกชัดเจนว่า มันกัน uv ได้ชะงัด และแว่นของโชเองที่เปลี่ยนสีไปตามระดับความเข้มมากน้อยของ UV นั้น(เทคโนญี่ปุ่น) ก็สุดวิเศษ. ตาไม่เมื่อยไม่ล้า ใบหน้าไม่ร้อนระอุ แต่หน้าก็ยังแดงๆ. มีลมพัดโชยไปมาตลอดเวลาบนเนินเขานั้น เย็นสบายจริงๆ. เส้นทางไกลและวกวนอย่างนั้น ดีแล้วที่ไม่ได้ขึ้นไปกับรถแท็กซี่ ยิ่งไม่มีเพื่อนแชร์ค่าระแท็กซี่ด้วย
 

รถบัสเล็กพาขึ้นไปถึงจุดปลายทาง เชิงเนินเขาสูง มีเต๊นต์เล็กที่นั่งของเจ้าหน้าที่ ผู้ขายตั๋วหากผู้ใดยังไม่ได้ซื้อ เพราะมีผู้ขับรถขึ้นไปเอง อีกคนสองคนช่วยจัดการระเบียบการเข้าคิวสำหรับผู้ที่จะขึ้นรถบัสกลับลงจากเขา. ตรงนั้นไม่มีอะไรอื่น นอกจากส้วมสองตู้ อยู่หลังเต๊นต์. ตู้หนึ่งปิด อีกตู้เปิด. เราเห็นว่า ยังไม่มีคนไม่มีคิวเข้าส้วมจำเป็นนั้น จึงรีบไปเข้า เป็นส้วมแบบย็องๆ เกือบหงายหลัง มีน้ำสีฟ้าๆ(ผสมยาฆ่าเชื้อโรค)กดให้ไหลชำระล้างลง. ส่วนส้วมที่ไม่มีประตูปิดนั้น สำหรับผู้ชาย. กฏการเอาตัวรอด เห็นห้องน้ำที่ไหน ใช้ทันที การณ์ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ไม่รู้ได้. มองรอบข้าง มองขึ้นมองลง เห็นแต่ดอกป็อปปี้ จะไปยิงกระต่ายที่ไหน คงไม่ได้ เกลอเอ๋ย! นอกจากนี้ นึกขึ้นมาว่า แล้วฉันจะไปกินอะไรได้ที่ไหนนะ นี่ก็เลยเที่ยงแล้ว รีบกลืนน้ำลายลงไปหนึ่งอึก... นึกถึง snackpack ของอ๊อด ถ้าอ๊อดไปด้วยคงเกิดศึกชิงถุง snack…
วันนั้น 21 พฤษภาคม 2016 เพื่อนอ๊อดกลับบ้านไปอเมริกาแล้วตั้งแต่วันที่ 11 พค.  
เดินไปบนเส้นทางขึ้นเนิน พื้นดินปนทราย แห้งๆ ต้องระวังแต่ละก้าว
ขึ้นไปได้ระยะหนึ่ง ถ่ายลงไปตรงจุดเริ่มต้นที่เต็นต์ผู้คุม
 หยุดพักปอดด้วยการถ่ายรูปเป็นระยะๆ 
 เดินไปอีกสักพัก ใจชื้นขึ้น เพราะเห็นแนวกระโจม คงมีอะไรขายมั่งน่ะ
ใต้ต้นไม้ที่ใกล้ที่สุด มีขั้นบันได ขึ้นไปเป็นลานจอดรถเล็กๆ. ผู้คนจำนวนหนึ่งไปนั่งพักและกินอาหารที่คนรู้เท่าทันสถานการณ์เตรียมไปเอง บางคนอาจไปซื้อมาจากกระโจมใดกระโจมหนึ่ง
พอไปถึงบนเนินที่มีกระโจมตั้งเรียงหน้ากระดาน จึงไปสำรวจว่า มีอะไรพอประทังชีวิตได้บ้าง. เห็นขายอะไรนิดๆหน่อยๆ ไม่ถึงยี่สิบประเภท. เดินไปหนึ่งรอบ ในที่สุด ตัดสินใจไปซื้อไส้กรอกหมูมาหนึ่งไม้ เขมือบหมดในพริบตา แล้วเดินหาอาหารต่อ ต้องซื้อมันเทศเผาอีกครึ่งหัว ตามด้วยน้ำอีกหนึ่งขวด. เป็นอันเตรียมท้องรับภาวะวิกฤตอย่างไม่ย่อท้อ.
มองจากสุดแถวกระโจมไปตรงทางขึ้นใต้กลุ่มต้นไม้

เลือกภาพที่ถ่ายมาให้ดู
ดอกไม้วันนั้น ยังไม่ผลิกันเต็มที่นัก เพราะมีดอกตูมๆอีกเยอะที่ยังไม่ลืมตามาดูโลก
สีแดงมากกว่าสีชมพู มีสีขาวเป็น “แกะดำ” อยู่นิดหน่อย

เส้นทางเดินที่ชาวบ้านชุมชนนี้ปราบพื้นที่ไว้ให้นั้น อ้อมเนินเขา ขึ้นๆลงๆไปตามลักษณะพื้นที่
ผู้คนมากขึ้นๆ ในตอนบ่าย คงแวะไปทานอาหารแถวในเมืองก่อนมา

 แปลกใจว่า ไม่เห็นมีดอกป๊อปปี้สีเหลืองเลย
ได้ยินชาวญี่ปุ่นคุยกันว่า นี่เป็นดอกป๊อปปี้ภูเขา ขึ้นในระดับพื้นที่สูงๆเท่านั้น
เข้าใจแล้วว่า ทำไมไม่เห็นเลยสองข้างทางรถไฟที่ผ่านมานานชั่วโมงสองชั่วโมง
ถัดไปอีกสองสามวัน เนินเขานี้คงจะยิ่งแดงเข้มแดงฉานมากกว่าวันที่ไป
แต่เราเองก็พอใจแล้ววันนั้น


 ในที่สุดเส้นทางเดินวนกลับมาที่จุดเริ่มต้น เป็นอันครบวงจรการดั้นบถเดินวันนั้น
ให้ภาพดอกป๊อปปี้สีอื่นๆ  กลีบดอกเหมือนเสื้อผ้าฝ้ายที่รีดไม่เรียบ

รู้กันว่า ดอกป๊อปปี้ใช้เป็นสัญลักษณ์รำลึกถึงทหารผู้เสียชีวิตในสนามสงคราม ใช้กันจริงจังแพร่หลายโดยเฉพาะประเทศต่างๆในเครือสหราชอาณาจักรฯตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และยังคงใช้ต่อมาในประเทศเหล่านั้น เป็น Remembrance poppy.  ประเทศไทยก็มีการขายดอกป๊อปปี้สีแดงในวันทหารผ่านศึก ที่มีคณะกรรมการทำออกมาขาย หารายได้ช่วยเหลือครอบครัวทหารผู้สูญเสียชีวิตหรือบาดเจ็บจากสงครามหรือจุนเจือครอบครัวทหารผู้ยากไร้. ทำไมจึงเลือกดอกป๊อปปี้ ? ตามธรรมชาติ ป็อปปี้เป็นดอกไม้ตามทุ่ง ไม่ใช่ดอกไม้ทำเงิน.
ก้านดอกยาวผอมเรียว หากบดขยี้ก้านดู จะเห็นน้ำเมือกขาวๆ น้ำนั้นมีพิษ. เพราะฉะนั้น ดอกป๊อปปี้จึงใช่จะไม่มีอันตราย อย่าพลาดไปนะ.
เหมือนพลาดท่าหลุดจากมโนสำนึกที่แจ่มกระจ่าง หลงเข้าสู่ความรุนแรง ทำให้สติขาด ปล่อยให้คนจูงจมูก ไม่ได้ลับปัญญา หลับไม่ตื่นอยู่ในห้วงเหวนั้น… 
      นึกถึงพลทหารต่างๆในกองทัพ ที่บ่อยครั้งตายไปในสงครามโดยไม่มีใครรู้จักชื่อเสียงเรียงนาม ไม่เคยได้รับความดีความชอบที่สมกับการเสียชีวิต(กับเคราะห์กรรมของครอบครัวเขาที่เป็นผลพ่วงากการตายจากไปอย่างไม่มีวันกลับของเขา)ในนามของชาติ. หากไม่มีทหารเหล่านี้ ไม่มีการเสียสละเช่นนี้ กองทัพก็ไปไม่รอด. สีแดงเข้มข้นแดงฉาน คือเลือดที่หลั่งไหลบนสนามสงคราม เปรอะไปในท้องทุ่งนาทุ่งหญ้า. ความตระหนักรู้คุณต่อทหาร ต่อผู้ที่สงครามได้พร่าชีวิตไปนั้น ผู้มีชีวิตต่อมาจากรุ่นถึงรุ่นต้องรำลึกไว้ไม่ให้ลืมเลือน. ดอกป๊อปปี้มาเตือนสติผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ เตือนผลของสงคราม. ถึงกระนั้น ณ นาทีปัจจุบัน ยังมีสงครามติดต่อกันตามมุมต่างๆบนโลก.
      ตามตำนานเทพโบราณกรีก ดอกป๊อปปี้เชื่อมโยงกับความตาย. เมื่อ Demeter (เทพสตรีแห่งความอุดมสมบูรณ์ การเก็บเกี่ยวและการกสิกรรม) สูญเสียลูกสาว Persephone ไป (ถูกเจ้าแห่งโลกบาดาลลักตัวไปเป็นราชินีใต้พิภพ) เทพเธอเสียใจไม่เป็นอันหลับอันนอน จึงได้เนรมิตดอกป๊อปปี้ขึ้น. การได้เห็นดอกป๊อปปี้หรืออยู่ใกล้ๆดอกไม้นี้ จะทำให้ผ่อนคลายหลับใหลได้.. แต่การนอนหลับนานๆนั้น ไม่ผิดไปจากสภาพคนตายนัก (ในตำนานเทพกรีก พี่น้องฝาแฝดสองคนชื่อ Hypnos และ Thanatos  มีพวงมาลัยดอกป๊อปปี้สวมบนศีรษะ. ทำให้เข้าใจว่า การนอนหลับ ที่เป็นความหมายของชื่อ Hypnos เหมือนการตายที่เป็นความหมายของชื่อ Thanatos).  ในตำนานเรื่อง The Wonderful Wizard of Oz ก็ได้เจาะจงถึงอันตรายของการเดินเข้าไปในทุ่งดอกป๊อปปี้ ที่ทำให้คนหลับเป็นตาย. ในอีกมุมมองหนึ่ง สีแดงกลับเป็นสีแห่งความสุขในค่านิยมทั่วไปของชาวโลก จึงไปกลบนัยจากตำนานกรีกเสียสิ้น และโดยเฉพาะเมื่อสหราชอาณาจักรฯ ได้เลือกใช้ดอกป๊อปปี้ให้เป็นสัญลักษณ์เพื่อรำลึกถึงเหล่าทหารในวันทหารผ่านศึก (Remembrance commemoration) และทุกชาติก็ยึดถือค่านิยมตามนี้  จึงฝังเป็นค่านิยมใหม่ที่เน้นความหมายของศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของทหาร ว่าจะเป็นที่จดจำในหัวใจคนไปชั่วกาลนาน.
        หนังสือ Hanakotoba 花言 ของญี่ปุ่น (คล้ายๆกับหนังสือ The language of flowers) ได้เจาะจงความหมายของดอกปิ๊ปปี้สีแดง  雛芥 Hinageshi ว่าหมายถึง  การรักความสนุกสนาน, ดอกป๊อปปี้สีขาว 芥子()  Keshi(Shiro) ว่าคือ ความยินดีปรีดา  ส่วนดอกปิอปปี้สีเหลือ  芥子() Keshi(Ki)  หมายถึง ความสำเร็จสมประสงค์.
        ใครจะคิดอย่างไรก็แล้วแต่ ดอกไม้เป็นดอกไม้ มีความงาม มีตัวตน มีศักดิ์ศรีของตัวเอง ที่ไม่จำเป็นต้องดีหรือเลวไปตามความแปรปรวนในค่านิยมของคน.  
       สภาพทุ่งดอกป๊อปปี้ที่ไปเห็นมา แน่นอนทำให้นึกถึงภาพทุ่งป๊อปปี้ในจิตรกรรมของ Claude Monet ที่เราเคยชื่นชอบ ในภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า ดอก coquelicots  [๊อกลิโก้] ชื่อและเสียงอ่าน โยงไปถึงไก่ (coq) และหงอนไก่ว่ามันคล้ายกัน (ดอกหงอนไก่ที่เรารู้จัก เหมือนกว่ามากนัก) ชนชาติดังกล่าวมองอะไรแปลกๆกันเสมอ ฤาจะเป็นความฝักใฝ่ต่อภาพลักษณ์ของไก่ตัวผู้ ที่ชาวฝรั่งเศสเปรียบตนเองไว้ ประเภทเป็นไก่ชนสู้ไม่ถอย?
       มีนักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศส (Jules Renard, 1864-1910) ได้แต่งโคลงบทสำหรับดอกป๊อปปี้โดยเฉพาะ บรรยายแผ่ออกเป็นภาพท้องทุ่งในต่างจังหวัดที่มีดอกป๊อปปี้ขึ้นแทรกในหมู่ดอกไม้ทุ่งอื่นๆและโดยเฉพาะดอก bleuet [เบลอ-เอ้] (สีฟ้าเข้ม คือ cornflowerในภาษาอังกฤษ )        
Ils éclatent dans le blé, comme une armée de petits soldats :
ก๊อกลิโก้ เจิดจรัสในทุ่งข้าวสาลี เป็นกองทัพพลทหาร
Mais d'un bien plus beau rouge, ils sont inoffensifs.
ที่แต่งชุดสีแดงสดสวยกว่ามาก  เป็นพลทหารที่ไม่รุกรานใคร
Leur épée, c'est un épi.
ดาบของพวกมัน คือก้านเล็กๆ
C'est le vent qui les fait courir.
เพียงลมโชยมา มันก็วิ่งลู่ลม
Et chaque coquelicot s'attarde quand il veut,
ก๊อลิโก้ แต่ละดอก อ้อยอิ่งไปตามอัธยาสัย
Au bord du sillon, avec le Bleuet1, sa payse.
ณรอยไถบนพื้นที่นาของมัน เคียงข้างดอก เบลอเอ้
ดอก bleuets หรือ cornflowers

ชมภาพจิตรกรรมของ Claude Monet และของ Vincent Van Gogh ในตอนจบนี้
 Claude Monet : Coquelicots. 1873. Musée d’Orsay, Paris.
มีจิตรกรรมของ Monet อีกหลายภาพที่มีดอกป๊อปปี้
 Vinceny Van Gogh : Les coquelicots, 1889.


สีแดงเป็นแม่สี สวยบริสุทธิ์ เข้มโดดเด่นและทนทาน.
ไม่ใช่สีที่ใครนำไปอ้าง นำไปครอบครองเป็นเจ้าของ..
คนชอบสีแดงที่แท้จริง เหมือนมีดอกป๊อปปี้ติดหน้าอก ที่คอยเตือนสติให้รำลึกถึงศักดิ์ศรีของความเป็นคน
ให้สำนึกถึงบุญคุณของแผ่นดินเกิดที่ต้องช่วยกันปกปักษ์รักษาจากเงื้อมมือโจรยิ่งกว่าชีวตตน ยิ่งกว่าผลประโยชน์ตน
และเมื่อยามนอนหลับไม่ตื่น ลูกหลานยังได้ปลาบปลื้มกับคำแซ่ซ้องสรรเสริญ

บันทึกเดินทางของ โชติรส โกวิทวัฒนพงศ์  ณ วันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๕๙.




No comments:

Post a Comment