คนฉลาดผู้สร้างสรรค์ “สิ่งใหม่” สิ่งใดในญี่ปุ่น มักโยงไปถึงขนบประเพณีและอุดมการณ์สุนทรีย์ที่ยึดถือกันมาในอดีต
เป็นการแทรกตัว กำหนดจุดยืนของเขาบนเส้นทางประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น และเพราะเขาสร้างใยโยงไปแบบนี้เอง
ที่ทำให้งานสร้างสรรค์ “แนวใหม่’ ของเขามีพื้นฐานมั่นคงทั้งในด้านชีวิตส่วนตัวและในแง่วิวัฒนาการของสังคม.
เพราะฉะนั้น หากใครที่คิดว่า ตนได้สร้าง “สิ่งใหม่“ บริสุทธิ์จริงแท้แล้วไซร้ ที่ไม่มีอะไรเหมือนมาก่อน
คนนั้นก็ยังคงหลงวนเวียนอยู่กับโลกของตัวเองที่จำกัด เพราะไม่ว่าจะมองในมุมไหนของวิทยาศาสตร์แขนงใด
ของลัทธิศาสนาใด ไม่มีอะไรใหม่ภายใต้แสงอาทิตย์. ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรือหายไป มีแต่การแปรรูปเปลี่ยนรูปจากสิ่งเดิมๆที่เคยมีมาก่อน. (ขอให้ทำใจเสียเถิด
เป็นการดีที่จะยึดสิ่งดีงามที่มีมาก่อน มาสร้างเป็น aura ให้ตัวเอง). เช่นนี้
เราจึงต้องพิจารณาต้นบ็องไซในบริบทที่กว้างออกไปในสังคมญี่ปุ่น ดังหัวข้อย่อยๆหกเรื่องที่นำมาเป็นตัวอย่างข้างล่างนี้ ที่เป็นพื้นฐานและเอกลักษณ์ของ “ความเป็นญี่ปุ่น”.
1. จิตรกรรมแขวน
(Hanging
scroll) หรือในภาษาจีน 立軸 ญี่ปุ่นใช้คำ 掛軸 (kakejiku) เป็นภาพม้วนที่คลี่ลงในแนวดิ่ง. ภาพวาดบนผืนผ้าใบม้วนนี้เป็นแบบศิลปะเอเชียตะวันออก. เนื้อหามีทั้งภูมิประเทศ ธรรมชาติไม้ดอก
เรื่องเล่าและสำนวนคำขวัญที่คัดด้วยลายมือแบบอักษรวิจิตร. จิตรกรรมบนแผ่นกระดาษหรือผ้าไหม
จะถูกติดประกบลงบนผืนผ้าไหมที่ทอแน่นกว่าและมีลวดลายในตัว
ที่ทำหน้าที่เหมือนกรอบรูป. (มีรายละเอียดเกี่ยวกับการทำผืนผ้าสำหรับจิตรกรรมม้วนอีกมาก ที่ผู้สนใจหาอ่านได้ในอินเตอเน็ต)
จิตรกรรมม้วนแบบนี้พัฒนามาจากแถบไม้ไผ่ที่เหลาจนเป็นแถบยาวและบาง
หรือจากธงผ้าไหม. แถบไม้ไผ่และธงผ้าไหมคือ “กระดาษบันทึกแบบแรกๆของจีนยุคโบราณ”
เป็นจารึกวรรณกรรมหรือเรื่องราวประวัติศาสตร์.
ทั้งสองแบบใช้แขวนให้ห้อยลงจากผนังกำแพง.
หลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดมาจากสมัยราชวงศ์ฮั่นราวสองร้อยปีก่อนคริสตกาล. ในสมัยราชวงศ์ถัง (Tang, 618-907 AD) รูปแบบของจิตรกรรมม้วนแบบนี้มีหลักการและโครงสร้างที่ถาวรแล้ว. ในสมัยราชวงศ์ซ่ง (Song, 960-1279) ศิลปินจีนนิยมใช้วัสดุรูปแบบนี้เป็นพื้นที่แสดงจิตนาการของพวกเขา.
จิตรกรรมก็มีขนาดและสัดส่วนหลากหลายขึ้น. ในที่สุดจิตรกรรมรูปแบบนี้พัฒนาสืบทอดเรื่อยมาถึงปัจจุบัน เป็นเอกลักษณ์หนึ่งของจีน ที่เกาหลีและญี่ปุ่น(ต่อมาเวียดนามก็เช่นกัน)
รับไปพัฒนาในศิลปะของทั้งสองประเทศด้วย. ในยุคเอโด๊ะ(1603-1868) ปัญญาชนญี่ปุ่นมีโอกาสสัมผัสความละเอียดประณีตของศิลปวัฒนธรรมจีนและนำเข้ามาเป็นแบบในญี่ปุ่น. พวกเขาศึกษาวิเคราะห์และเรียนรู้อุดมกาณ์สุนทรีย์และปรัชญาจากจีน
จนในที่สุดสามารถพัฒนารูปแบบศิลปะตามหลักสุนทรีย์ของญี่ปุ่นเอง
ที่รวมถึงจิตรกรรมแขวนหรือม้วนดังกล่าว. ญี่ปุ่นให้ความสำคัญต่อจิตรกรรมแขวนแบบนี้อย่างมากโดยเฉพาะเมื่อเกิดประเพณีชงชาขึ้น
(chado / sado). จิตรกรรมแขวนเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสามอย่างที่ขาดเสียมิได้ในพิธีชงชา. จิตรกรรมแบบแขวนจะประดับบนผนังกำแพงภายในเวิ้ง
(tokonoma โปรดดูที่ข้อ 3 ต่อไป) ในห้องประกอบพิธีชงชา
เพื่อสร้างบรรยากาศและนำจินตนาการของผู้ร่วมพิธีสู่ความงาม ความยิ่งใหญ่ในธรรมชาติ.
ภาพที่นำไปแขวนอยู่บนผนังกำแพงชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วก็ม้วนเก็บรักษาไว้อย่างดี. เมื่อเก็บม้วนหนึ่งไป
อาจนำอีกม้วนหนึ่งออกมาแขวนแทน ตามโอกาสหรือวาระพิเศษ
หรือเพื่อให้สอดคล้องกับฤดูกาล. (โปรดดูเรื่อง Tokonoma ต่อในข้อ 3 เรื่องพิธีชงชาหรือวิถีชา).
ดอกจันสีขาวเจาะจงพื้นที่ในเวิ้งที่เรียกว่า
Tokonoma มีภาพม้วนแขวนอยู่บนผนังด้านใน
เป็นลายมืออักษรจีนวิจิตร ติดประดับอยู่. ภาพจากเน็ต enaftour.com
สี่ตัวอย่างจิตรกรรมม้วนสำหรับแขวนตามแนวสูง ฝีมือคนจีน
ภาพแสดงสี่ฤดูจากอินเตอเน็ตที่ www.terapeak.com
สามตัวอย่างของจิตรกรรมม้วนใช้แขวน ศิลปะญี่ปุ่น
จากอินเตอเน็ตที่ japanbrandonline.com
จิตรกรรมม้วนอีกแบบหนึ่งที่ไม่แขวน
แต่คลี่ออกดูบนโต๊ะยาว (หรือบนพื้นเสื่อตะต๊ามิญี่ปุ่น) หรือใช้สองมือถือและกางออกดู
เริ่มดูจากขอบขวามือไป คลี่ออกไปเรื่อยๆทางซ้ายจนจบม้วน. เป็นการดูทีละส่วนทีละตอน
เพราะมักจะยาวมาก ถึงสองสามเมตรก็มี. ส่วนความกว้าง (หรือส่วนสูงของภาพอยู่ระหว่าง 25-40
ซม. เรียกเป็น 手捲 , handscroll). เมื่อดูภาพส่วนไหนแล้วก็ม้วนเข้า
ดูภาพส่วนต่อไปทางซ้ายมือ เสร็จแล้วก็ม้วนเก็บเลย ไม่วางโชว์ มักเป็นภาพบนผ้าไหมหรือกระดาษที่ต่อๆกันยาวเหยียด.
ตัวอย่างจิตรกรรมม้วนแบบคลี่ดู
ชื่อภาพตั้งไว้ว่า Early
Autumn, ผลงานของศิลปินราชสำนักซ่ง ชื่อ Qian Xuan 錢選(1235-1305), ศตวรรษที่ 13, ภาพนี้อยู่ที่ Detroit
Institute of Arts, Detroit, Michigan, USA. (From Wikipedia, public domain)
การวาดภาพที่ม้วนเข้าออกแบบนี้
เป็นศิลปะโบราณที่เริ่มขึ้นในจีนตั้งแต่ราวศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสตกาล
และสืบทอดกันต่อมาในจีนและแผ่ออกไปบนดินแดนตะวันออก (เกาหลี ญี่ปุ่นและเวียดนามด้วย) วัสดุที่ใช้ก็พัฒนาดีขึ้นทั้งกระดาษและผ้าไหม.
เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นทัศนียภาพ,
ภาพพร้อมคำบรรยายที่เขียนลงเป็นลายมือ,
ภาพเหตุการณ์, ภาพดอกไม้ที่ต่อเนื่องกันไปตามฤดูกาล, หรือเป็นเรื่องเล่าเรื่องบันทึกล้วนๆ ที่จารึกลงด้วยลายมือเป็นอักษรจีนเป็นต้น.
ญี่ปุ่นเรียกจิตรกรรมม้วนในแนวนอนนี้ว่า emakimono 絵巻物
เริ่มขึ้นและแพร่หลายในระหว่างศตวรรษที่ 11-16 เท่านั้น.
ตัวอย่างภาพดอกไม้แปดชนิดของจิตรกร Qian Xuan, Eight Flowers, 13th century,
Palace Museum, Beijing. (From Wikipedia, public domain)
ร้านขายสรรพสิ่งทั้งแบบจีน ญี่ปุ่นหรือเกาหลี รวมทั้งกระถางลายครามขนาดใหญ่ของจีน
ทำไมต้องมีจิตรกรรมภาพม้วนด้วย? ในญี่ปุ่นมีคนพร้อมที่จะจ่ายเงินเป็นล้านๆเพื่อเป็นเจ้าของจิตรกรรมม้วนฝีมือศิลปินชั้นครู
สำหรับนำไปประดับพื้นที่จัดแสดงบ็องไซของเขา. ภาพจิตรกรรมม้วนฝีมือดีนั้นราคาแพงมาก แต่เดี๋ยวนี้อาจหาซื้อได้จากร้านขายศิลปวัตถุ
Asian style ทั่วไปในโลก. สวยงามในระดับหนึ่ง. การเลือกซื้อภาพเนื้อหาใดนั้น
ต้องคำนึงว่า เนื้อหาและรูปแบบของภาพ เสริมและสร้างมโนทัศน์ของภูมิประเทศ ฤดูกาล
นัยลึกล้ำของสถานที่หนึ่ง เช่นภาพภูเขาสูงทำให้นึกถึงภูมิประเทศสูงๆต่ำๆในหุบเขาสูงที่มีต้นสนปกคลุม, ภาพนกนางนวลที่ทำให้มโนไปถึงชายฝั่งทะเล
หรือภาพหิมะปกคลุมบนเนินเขาเพื่อสื่อฤดูหนาว. สิ่งที่นำเข้าไปจัดภายในพื้นที่แสดงต้นบ็องไซนั้น
ต้องไปกระตุ้นและเร้าจินตนาการและจิตสำนึกของผู้ดู นำผู้ดูไปใน “ภูมิประเทศของอารมณ์สะเทือนและของปัญญา”. หากทำได้อย่างนี้
เท่ากับยกระดับต้นบ็องไซขึ้นสูง. แน่นอนผู้ดูแต่ละคนมีจินตนาการที่เข้มมากน้อยต่างกัน. การจัดพื้นที่โชว์ที่ดีและได้ผลดีที่สุด คือเมื่อทำให้ผู้ดูคิดใคร่ครวญว่า “ ชีวิตสร้างศิลปะ
หรือศิลปะสร้างชีวิต”
2. Suiseki
水石 [ซุยเซกิ] (อักษรตัวแรกแปลว่า น้ำ และตัวที่สองแปลว่า
หิน) เป็นกระแสชื่นชมหิน พินิจความมั่นคงยืนยง ความไม่เสื่อมสลายของหิน.
กาลเวลาและดินน้ำลมไฟได้ประทับและขัดเกลาบนผิวหน้าของหิน
จนเป็นรูปลักษณ์ต่างๆในขนาดต่างๆ. ก้อนหินรูปลักษณะต่างๆชักและเชื่อมใยไปถึงสรรพสิ่งในธรรมชาติ.
บางคนจึงเรียกว่าเป็นหินของความคิดคำนึง.
คนมักวางก้อนหินดังกล่าวบนฐานไม้หรือฐานอื่นใดที่งามประณีต ที่อาจเป็นถาด
ชามทองเหลือง ที่บรรจุน้ำหรือทราย เพื่อเน้นความโดดเด่นของหินที่นำออกโชว์
ซึ่งส่วนใหญ่แล้วหินเป็นภาพลักษณ์ของเกาะ. เมื่อจัดวางอย่างเหมาะสมและสมดุล
เกิดเป็นศิลปะหินประดับที่เรียกว่า suiseki.
ศิลปะหินประดับเริ่มขึ้นในประเทศจีน เรียกว่า «gongshi» 供石 (อักษรตัวแรกแปลว่า มอบให้, เสนอ; ตัวที่สองแปลว่า หิน).
เหล่าปราชญ์ในจีนนิยมชมชื่นหินรูปลักษณ์ต่างๆ ที่นำจินตนาการไกลออกไปในธรรมชาติ ดังปรากฏในจารึกจีนศตวรรษที่ 11 ที่อธิบายรูปลักษณ์และความสำคัญของหิน
gongshi. ราชสำนักของจักรพรรดิจีนนำเข้าสู่ประเทศญี่ปุ่นในยุคสมัย
Asuka
(538-710 AD.)
จารึกจีนนี้ เล่าเหตุการณ์อะไรสักอย่างหนึ่งเกี่ยวกับหินที่แสดงไว้ด้านขวา
บอกให้รู้ว่า คนจีนสนใจเรื่องหินมานาน และซึมซับรูปลักษณ์ของหินแบบต่างๆไว้ในจินตนาการ
เหมือนเก็บข้อมูลสำหรับนำไปใช้ในงานสร้างสรรค์ต่อไปในอนาคต.
รูปลักษณ์ของหิน การจัดตั้งให้ด้านไหนเป็นด้านหน้าตามความต้องการของผู้จัด
คือการนำสายตาและจินตนาการของผู้ดู
หินประดับแบบนี้เป็นที่นิยมมากขึ้นในหมู่ชนชั้นปกครองและในหมู่ซามูไรตลอดยุค Kamakura
(1183-1333 AD.). นิทรรศการบ็องไซในโลกตะวันตก(เกือบทุกครั้ง) มีการนำ suiseki ไปแสดงด้วย จึงได้กระตุ้นกระแสชื่นชมหินธรรมชาติไปด้วย.
หินประดับแบบนี้ในเกาหลีเรียกว่า «Suseok»壽石 หรือ 수석 [ซูส็อก]
เน้นคุณสมบัติของเนื้อหินธรรมชาติ ที่เป็นมงคลแก่ชีวิต ที่นำไปสู่การเจียระไนหินสีต่างๆเพื่อเป็นเครื่องประดับบนตัวทั้งหญิงและชาย. ส่วน suiseki-水石 ญี่ปุ่นนั้นเน้นรูปลักษณ์ภายนอกของหินที่เลียนแบบภูมิประเทศของหินผาและผืนน้ำ
(山水景石)
นอกจากนี้ยังมีการจำแนกประเภทของหินที่นำมาประดับ
ตามรูปลักษณ์ของมัน เช่น หินที่มองดูเหมือนภูมิประเทศ (Sansui keijo-seki) เช่นภูเขา แคนยอน เกาะ ผาน้ำตก ฝั่งทะเล โขดหิน ถ้ำ หรือที่ราบสูง, หินที่มองดูคล้ายคน สัตว์ เรือ บ้านหรือสะพาน (Keisho-seki), หินที่ทำให้นึกถึงดวงดาว ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ (Gensho-seki), หินที่มองดูเหมือนต้นไม้ ดอกไม้ ผลไม้ หญ้าหรือป่าไม้ (Kigata-ishi), หินที่ทำให้นึกถึงสภาพดินฟ้าอากาศในยามฝนตก แดดร้อนจัด สายฟ้าแล็บ หรือหิมะ (Tenko-seki), ผิวหน้าของหินที่ทำให้นึกถึงรอยเท้าสัตว์หรือการผสมปนเปของสรรพสิ่ง (Chusho-seki). เขาจัดหินประดับรูปลักษณ์ต่างๆเหล่านี้บนถาดเตี้ยๆที่บรรจุทรายหรือน้ำ อาจนำเข้าไปวางในเวิ้ง Tokonoma ไม่ไกลจากต้นบ็องไซ
หรือวางแยกต่างหากบนโต๊ะไม้เป็นต้น. ในบริบทของการเลี้ยงบ็องไซ
หินประดับมีส่วนเสริมความมีชีวิตชีวาแก่ต้นบ็องไซ เพราะสภาพแวดล้อมรอบตัวเราทุกหนทุกแห่ง)คือสนามคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ที่กระทบต่อสรรพสิ่งและสรรพชีวิตในแบบต่างๆกัน สรรพสิ่งจึงทั้งรับและสะท้อนชีวิต(วิญญาณ)ต่อทุกอย่างรอบตัว
สื่อสารกันโดยที่ตามองไม่เห็น แต่ผู้มีสมาธิและนั่งสมาธิจนจิตสงบมั่นคงจะสามารถรู้สึกได้ถึงเครือข่ายการสื่อสารรอบๆตัวเรา(เช่นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า)
สำหรับต้นบ็องไซ การมีหินวางอยู่ข้างๆ ปลอบใจว่ามันอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีชีวิต และเหมือนทุกชีวิต
มันไม่ชอบความโดดเดี่ยวอ้างว้าง. อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่.
ลักษณะของหินประดับ ทำให้นึกถึงเกาะต่างๆนอกฝั่งทะเลญี่ปุ่น. ชายฝั่งที่โดดเด่นมากที่สุดคือนอกฝั่งเมือง Matsushima
松島 (ใกล้เมือง Sendai 仙台) ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสามภูมิทัศน์ที่งามตระการตาที่สุดของญี่ปุ่น
นอกฝั่งทะเลส่วนนี้ มีเกาะจำนวนมากไม่ต่ำกว่า 260 เกาะ.
ต้นสนขึ้นบนเกาะเหล่านั้นได้อย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง ไม่ผิดกับรูปทรงของบ็องไซที่คนพยายามเลี้ยงไว้บนก้อนหินดังได้กล่าวไว้ในบทที่สอง. ดูแผนผังที่ตั้งเกาะต่างๆนอกฝั่งทะเล
และชมตัวอย่างเกาะที่ได้เดินทางไปถ่ายมาเอง.
3. Tea ceremony ประเพณีชงชาหรือวิถีชาของญี่ปุ่นมีรายละเอียดมาก
ในที่นี้เรานำมาเล่าแต่เพียงย่อๆเพื่อให้เห็นว่าวิถีชาของญี่ปุ่นได้ฝังรากสร้างความสุนทรีย์แบบญี่ปุ่นอย่างไรบ้าง.
จารึกเกี่ยวกับชาที่เก่าที่สุดเล่าว่า
ชาวจีนรู้จักชาและดื่มชากันแล้วตั้งแต่สมัยจักรพรรดิ Jing ราชวงศ์ฮั่น (188-141
BC) เมื่อราวศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล.
พวกเขาเอาใบชามาตากแห้ง แล้วใช้หินป่นและอัดเป็นก้อนเล็กๆแน่นๆ. เมื่อจะดื่มชาก็เอาก้อนชานั้นมาบด ผสมสมุนไพรอื่นๆเข้าไป
เพิ่มสรรพคุณและรสชาติต่างๆกัน. การดื่มชาจึงเริ่มด้วยการเป็นยาบรรเทาความเจ็บป่วยก่อน
แล้วจึงเป็นเครื่องดื่มเพื่อความสุขสำราญ. ในราวคริสต์ศตวรรษที่ 8 Lu Yu 陆羽 (733-804)
ได้แต่งหนังสือ 茶經 (Tea
Classic) เกี่ยวกับเรื่องชาโดยเฉพาะอย่างละเอียดลออ
ทั้งเรื่องการเพาะปลูกชาและการตระเตรียมชา อุณหภูมิของน้ำตลอดจนอุปกรณ์และวิธีการใช้ในการชงชา. ชีวิตของเขาอยู่ในกรอบศีลธรรมจรรยาพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัด ที่ได้ดลใจพระสงฆ์ชาวญี่ปุ่นที่ไปสืบพระศาสนาในจีน นำไปเป็นแบบอย่างของการครองตน
ที่วิวัฒน์ขึ้นเป็นลัทธิเซนในญี่ปุ่น.
การสถาปนาวิถีชาในญี่ปุ่นก็เป็นผลจากวิถีชีวิตแบบพุทธเซนดังกล่าว.
รูปปั้น Lu Yu 陸羽 ที่เมือง X’ian 西安 ในประเทศจีน
ดูเหมือนว่า มือถือกระปุกใส่ชา
ภาพวาดแสดงบริบทการดื่มชาในจีนสมัยก่อน คนสำคัญนั่งบนตั่ง เครื่องน้ำชาและและอาหารกับขนม
จัดวางเต็มโต๊ะเบื้องหน้าบุคคลสำคัญๆ
มีสตรีนางหนึ่งเล่นดนตรีขับกล่อมไปด้วย
เสียงหรือดนตรีคงไพเราะเสนาะหู
เพระทุกคนหันไปฟังอย่างตั้งใจ
การปลูกชาในญี่ปุ่นนั้น เริ่มขึ้นในสมัยราชวงศ์ถัง (818-907) เมื่อพระสงฆ์ชาวญี่ปุ่นนำเมล็ดชาจากประเทศจีนติดตัวมาที่ญี่ปุ่น. ยุคที่กรุงนาราเป็นเมืองหลวง (710-794) เริ่มมีการปลูกชาแล้วแต่ยังอยู่ในวงแคบ ตอนนั้นน้ำชาเป็นยา
ดื่มในหมู่พระภิกษุและชนชั้นสูง. ในปลายราชวงศ์ถัง
ชาวจีนเริ่มดื่มชากันมากขึ้นและการดื่มชาเปลี่ยนไป น้ำชามิได้เป็นยาเท่านั้นแต่เป็นเครื่องดื่มสำหรับทุกคน
เป็นการดื่มเพื่อความสุขความพอใจ. ส่วนในญี่ปุ่น
น้ำชายังคงเป็นยาสำหรับพระภิกษุและชนชั้นสูงต่อมาอีกเป็นเวลานาน. ญี่ปุ่นยังตามรสนิยมจีนเรื่องการดื่มชาไม่ทัน
เพราะความสัมพันธ์ทางการค้าและการแลกเปลี่ยนระหว่างสองประเทศลดน้อยลง. ญี่ปุ่นต้องปลูกต้นชาเองและพัฒนาชาและทุกอย่างที่เกี่ยวกับชาภายในหมู่คนญี่ปุ่นด้วยกัน. ตั้งต้นด้วยการปลูกชา ตอนนั้นปลูกอยู่แถบเมือง Uji (宇治) จังหวัดนารา หลังจากนั้นจึงค่อยๆขยายวงออกไปเกือบทั่วเกาะญี่ปุ่น. ชาจึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่หายากและมีราคาแพง. เป็นเช่นนี้เรื่อยมาในสมัย Heian (794-1192) เมื่อกรุงเกียวโตเป็นเมืองหลวง. ความเป็นของมีค่าและเป็นผลิตภัณฑ์ที่หายาก
ทำให้การดื่มชามีกฎมีเกณฑ์อย่างละเอียด เหมือนต้องคอยระวังมิให้เสียของ.
Myoan Eisai (明菴栄西) พระสงฆ์ญี่ปุ่นได้เดินทางไปศึกษาปรัชญาและศาสนาที่เมืองจีนในปี 1187 เมื่อเขาเดินทางกลับมาที่ญี่ปุ่น
เขาเป็นผู้วางรากฐานพุทธศาสนาลัทธิเซนและให้สร้างวัดนิกาย Rinzai 臨済宗
แห่งแรกในญี่ปุ่น. กล่าวกันว่า
เขาเป็นคนแรกที่สั่งให้ปลูกชาเพื่อใช้ในพิธีการศาสนา ทั้งยังเป็นคนแนะและสอนวิธีการบดใบชาให้ละเอียดก่อนเติมน้ำร้อน. เขาได้เห็นในราชสำนักจีนใช้กระจุกไม้ไผ่ที่ตัดเหลาเป็นซี่เล็กๆตีและคนผงชากับน้ำร้อนจนเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน
จึงนำวิธีการแบบนี้มาใช้ในญี่ปุ่น
และกลายเป็นกรรมวิธีสำคัญในพิธีชงชาของญี่ปุ่นตั้งแต่นั้นมา.
แปรงซี่ไม้ไผ่
(茶筅 chasen) ที่ใช้ตี กวน
คนผงชาเขียวในน้ำเดือดจนเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน
ยุคนั้นมีพระภิกษุอื่นๆที่ไม่เห็นด้วยกับหลักศาสนาพุทธที่
Eisai
นำมาเผยแผ่ในญี่ปุ่น แต่โชกุนตระกูล Kamakura (1192-1333) กลับสนับสนุนเขา. ในปี 1211(บางตำราบอกว่าปี 1191) พระ Eisai ได้ประพันธ์หนังสือเรื่องชา ชื่อ Kissa Yojoki 喫茶養生記 ที่แปลว่า บันทึกการดื่มชาเพื่อสุขภาพ เช่นช่วยให้เจริญอาหาร, คลายอาการเหน็บชา, ร้อนในหรือคลื่นเหียนอาเจียร. Eisai
เชื่อในสรรพคุณของชาว่าสามารถรักษาความผิดปกติของร่างกายได้เกือบทุกโรค. นี่อาจเป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้เกิดพิธีชงชาและวิถีชาที่แพร่หลายเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางต่อมา.
ในศตวรรษที่ 13 การปลูกชาได้ขยายออกไปทั่วทุกภูมิภาคในญี่ปุ่น. ชนชั้นซามูไรนิยมชมชอบขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมจีนยุคราชวงศ์ซ่ง 宋朝 (Song,
960-1279) และรับกระบวนการชงชาดื่มชาของจีนมาด้วย
ทั้งยังเสริมขั้นตอนการเตรียมชาเขียวเข้าไปอีกให้ครบวงจร. เมื่อโชกุนตระกูล Kamakura เสื่อมลง
มีศึกสงครามชิงอำนาจกันไปทั่วในญี่ปุ่น เกิดชนชั้นใหม่ เป็นพวกเศรษฐีใหม่ (Gekokujou)
ผู้ชอบความหรูหราโอ่อ่า ที่ดึงดูดสายตามวลมหาชน. ในยุค Muromachi
(?1337-1573) พิธีชงชาทำกันในราชสำนักในหมู่ชาววัง, ชนชั้นสูงและซามูไร.
พวกเขาใช้ถ้วยชาเครื่องลายครามราคาแพง(จากจีน)และเชิญแขกในชนชั้นเดียวกันมาเป็นจำนวนมาก. พวกเขาจัดงานเลี้ยงน้ำชาในหมู่เพื่อนๆ
ให้ทุกคนดื่มน้ำชา ทดสอบว่ารู้จักแยกแยะน้ำชาไหมว่าถ้วยไหนเป็นชาจริง (Honcha) ถ้วยไหนเป็นชาผสมอื่นๆ. เกิดการพนันขันแข่ง
มีรางวัลเป็นของมีค่าสูงให้ผู้ชนะ. เช่นนี้จากการดื่มน้ำชาในถ้วยคนละถ้วย
ไปสู่การดื่มชาสิบถ้วย ยี่สิบถ้วยจนอาจถึงร้อยถ้วย
คนอยากร่วมมากขึ้นๆในที่สุดใช้ถ้วยชาขนาดใหญ่ ดื่มกันคนละอึกแล้วส่งต่อไปยังคนอื่นๆ
เพราะไม่มีใครมีถ้วยชาเป็นจำนวนมากถึงเพียงนั้น.
ความสนุกในยุคนั้นยังทิ้งร่องรอยมาในปัจจุบัน
ในพิธีดื่มน้ำชาจากถ้วยชาถ้วยมหึมาถ้วยเดียวกัน (มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 30 เซนติเมตรและหนัก 5 กิโลกรัม) ดื่มแล้วส่งต่อไปให้ผู้มาร่วมพิธีชาพิเศษนี้ทุกคน. ในจังหวัดนาราที่วัด Saidaiji ยังมีพิธีนี้อยู่เรียกว่า O-Chamori [โอ ฉ้ะโมหรี่] (Grand Tea
Ceremony) ปัจจุบันดูเหมือนจัดปีละสองครั้งต้นปีในฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิ หรือฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง. เดี๋ยวนี้ทางวัดจัดพิธีชาในถ้วยยักษ์นี้ให้ได้เป็นการส่วนตัว
หากมีกลุ่มคนถึง 30 คน. เล่ากันใหม่ในยุคใหม่ว่า ขณะที่พระสงฆ์เตรียมบดผงชาในถ้วยขนาดใหญ่
เพื่อทำน้ำชาสักการะแก่ทวยเทพของวัด หิมะโปรยปรายลงมา ต่างตะลึงตรึงใจในความงาม
เมื่อเสร็จพิธีจึงให้ผู้ไปร่วมพิธีได้ดื่มร่วมกันเป็นสิริมงคล. (ในหมู่ซามูไรการดื่มเหล้าสาเกจากถ้วยใบเดียวกัน
ยืนยันความผูกพันเป็นหนึ่งเดียว กระชับความซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อกัน).
ในสมัยหนึ่งเมื่อมีการร่วมดื่มชาพร้อมกันเป็นกลุ่ม
ถ้วยชาใหญ่ดังในภาพนี้ สตรีคนกลางหน้าก้มลงดูชาในมือที่เธอยกขึ้น(จะดื่ม)ด้วยสองมือ ถ้วยชาขนาดชามก๋ยวเตี๋ยว(อูดง)) บนพื้นตรงหน้ามีจานขนมหวาน
ชาถ้วยเดียวกันและจานขนมจะส่งต่อไปให้คนอื่นๆ
เพราะฉะนั้นไม่มีถ้วยชาส่วนตัวสำหรับทุกคน จึงต้องมีผ้าป่านขาวบางที่ผู้ชงชาคอยเช็ดปากถ้วยชาให้. สมัยนี้มีถ้วยให้คนละถ้วย(เป็นถ้วยเล็กๆ)
ขนมก็คนละจาน เพราะทุกอย่างผลิตเป็นอุตสาหกรรม ให้สังเกตเวิ้งด้านหลัง
มีภาพวาดม้วนห้อยลงจากผนัง ด้านขวามีหิ้งวาง มีแจกันดอกไม้
เครื่องปั้นดินเผานิดหน่อยวางเป็นระเบียบ ตรงพื้นดูเหมือนว่าเป็นต้นบ็องไซขนาดจิ๋ว ภาชนะใหญ่ลักษณะหม้อ ถ้วยและกระปุกที่อยู่ตรงหน้าสตรีที่นั่งริมขวาสุด
คือหม้อน้ำเดือดและกระปุกบรรจุผงชาเขียว ถ้วยคนและแปรงไม้ไผ่สำหรับกวนและคนชาเขียว
ปล้องไม้ไผ่ที่ทำหน้าที่ของทัพพีด้ามยาวสำหรับตักน้ำเดือดเป็นต้น
พิธีดื่มชาจากถ้วยยักษ์ที่วัด Saidaiji จังหวัดนารา ยุคปัจจุบัน
น้ำหนัก
5 กิโลกรัมนั้น
ผู้หญิงยกขึ้นซดไม่ไหว คนนั่งข้างๆต้องช่วย
สถาปัตยกรรมญี่ปุ่นก็วิวัฒน์พัฒนาตามกาลเวลา จากพระราชวังขนาดใหญ่ในยุค Heian
เป็นแบบเรียบง่ายลงไปสำหรับที่อยู่ของเหล่าซามูไร
ต่อมาก็นำบางส่วนจากสถาปัตยกรรมวัดเข้ามาปนในสถาปัตยกรรมวิลลาและคฤหาสน์แบบญี่ปุ่น
เรียกว่าแบบ Shoin 書院 หรือ Shoin-zukuri 書院造 เป็นแบบสถาปัตยกรรมของห้องโถงใหญ่ที่รับรองผู้คนที่ไปวัด, เป็นแบบที่อยู่ของเจ้าอาวาสในลัทธิเซน และตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16
เป็นต้นมาเป็นสถาปัตยกรรมแบบฉบับตามประเพณีญี่ปุ่นมาจนถึงปัจจุบัน.
คำ shoin書院 อักษรตัวแรกแปลว่า หนังสือ ตัวที่สองแปลว่า
สำนักหรือคอร์ด รวมกันหมายถึงสถานที่สำหรับอ่านหนังสือธรรมะหรือพระสูตร อยู่ภายในวัด
ต่อมามีความหมายกว้างออกไปและไม่จำเป็นต้องอยู่ภายในบริเวณวัด เป็นห้องทำงาน
ห้องอ่านหนังสือส่วนตัว. สำคัญคือเป็นห้องที่พื้นปูด้วยเสื่อตะต๊ามิทั้งหมด ทุกคนนั่งบนพื้น
เครื่องเรือนที่ใช้ก็เข้ากับสภาพของคนที่นั่งบนพื้น
ในระดับสายตาของคนที่นั่งบนพื้น. ห้องโถง shoin ในวิลลาของชุนนางชั้นผู้ใหญ่และของชนชั้นซามูไร และของเจ้าอาวาส ใช้เป็นที่รับรองแขก และเป็นที่ประกอบพิธีชงชา.
พวกขุนนางและซามูไร
ให้ความสนใจในการตกแต่งประดับพื้นที่ในห้องนี้และโดยเฉพาะในเวิ้ง Tokonoma
และสิ่งของที่นำประดับบนหิ้งที่อยู่ข้างๆเวิ้ง
ประตูที่เลื่อนปิดเปิดตู้เก็บอุปกรณ์เครื่องใช้ สำหรับพิธีชงชา โต๊ะเล็กๆ ทุกอย่างในห้อง
shoin ต้องจัดวางอย่างเหมาะสม ไม่มีอะไรเกะกะสายตา
ทุกอย่างในห้องเสริมความงามเรียบร้อยและสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย
ผู้เข้าไปในห้องนั้นจิตสงบลงไปเรื่อยๆตามลำดับและติดตามขั้นตอนของการเตรียมชาจนถึงการดื่มชาด้วยความสงบ.
ตามวิลลาใหญ่ๆทั่วไปในญี่ปุ่น
ยังอนุรักษ์สถาปัตยกรรมแบบประเพณีของญี่ปุ่นไว้ มักเปิดห้อง Shoin
ให้เห็นทุกๆด้าน.
ห้องโถงใหญ่ที่ Tenryuji 天龍寺 เป็นหนึ่งในวัดเซนสาขา Rinzai ที่สำคัญที่สุดของกรุงเกียวโต สถาปนาขึ้นในปี 1345
ได้ขึ้นเป็นมรดกโลกของยูเนสโกปี
1994.
อาคารทั้งหลายที่นั่นบูรณะปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ในศตวรรษที่ 19. ภาพนี้รวมพื้นที่ตรงเวิ้ง
Tokonoma ของห้องสองห้อง. สมัยก่อนเมื่ออาคารนั้นเป็นที่อยู่อาศัย
มีประตูเลื่อนปิดเหมือนผนังกั้นตลอดความยาว ใต้ภาพอักษรวิจิตรบนผนังตอนบนด้านขวา
ประตูบานเลื่อนจึงปิดแบ่งห้องรับรองออกเป็นสองห้องใหญ่.
เมื่อนั่งมองจากห้องโถงใหญ่ในอาคารหลังใหญ่ที่สุด (大方丈 ōhōjō) ของ Tenryuji
ดังในภาพบน
เบื้องหน้าคือทัศนียภาพที่สวยงามของสวน
ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของสถาปัตยกรรมประเพณีของญี่ปุ่น.
ห้องโถงใหญ่ที่เป็นห้องรับรอง (shoin) ภาพเก่านี้ระบุไว้ว่าเป็น Residence
of Soichiro Asano
ห้องประกอบพิธีชงชา
ระเบียบในการจัดวางนั้นมีหลักเฉพาะเจาะจงที่ยึดถือปฏิบัติกันมา. ปกติจะเป็นขนาดเสื่อสี่ผืนครึ่ง. หมายเลข 1 เป็นประตูเข้าออกแบบเลื่อนไปมา
(茶道口), หมายเลข 2 เป็นเสาหลักของห้องจากเพดานจรดพื้น
อีกเสาหนึ่งหนึ่งที่อยู่ติดมุมห้องด้านขวาในภาพเป็นเสาผู้ช่วย เสาหลักนั้นสำคัญมาก
เลือกใช้ไม้คุณภาพดีที่สุดในขณะเดียวกันก็ต้องให้ดูงามเรียบตามธรรมชาติเนื้อไม้
ทีได้ขัดเกลาให้ลื่นมือ (เรียกเสานี้ว่า Tokobashira
床柱),
หมายเลข 3 เป็นไม้คานณตำแหน่งที่เห็นในภาพ เหมือนเป็นกรอบเน้นพื้นที่เวิ้ง Tokonoma
มักเลือกใช้ไม้จากต้น red cedar, redwood, หรือต้น Paulownia (เรียกไม้คานส่วนนี้ว่า Otoshigake
落としがけ),
หมายเลข 4
จิตรกรรมม้วน (Kakejiku
掛軸)
ที่ห้อยลงจากผนังภายในเวิ้ง Tokomoma อาจเป็นภูมิประเทศ ดอกไม้ นกหรือภาพฤดูกาล, ยังอาจเป็นภาพอักษรลายมือสวยงาม ที่เป็นคำคม แง่คิด คำสอนหรือบทกวี
ที่พระสงฆ์เป้นผู้เขียนด้วยลายมือเป็นหมึกดำ. กรอบของภาพที่ยาวตั้งแต่ตอนบนถึงปลายล่าง เป็นผ้าไหมทอลวดลายในตัว
บนพื้นภายในเวิ้งอาจมีต้นบ็องไซหรือแจกันดอกไม้, หมายเลข 5 เป็นไม้ส่วนล่างของเวิ้งที่ยกเวิ้งขึ้นสูงจากพื้นไม่เกินสิบเซนติเมตร
เป็นกรอบล่างของเวิ้ง Tokonoma, หมายเลข 6 บนพื้นที่เสื่อตะต๊ามิใกล้ที่วางอุปกรณ์เครื่องใช้สำหรับเตรียมชา
เป็นที่นั่งของเจ้าบ้าน(teishu 亭主) (เรียกตำแหน่งที่นั่งนั้นว่า
Temaeza) เจ้าบ้านเป็นผู้ทำหน้าที่จุดถ่านไฟ
เตรียมชาและเสริฟชาด้วย แขกผู้ไปเยือนนั้นนั่งบนตะต๊ามิผืนอื่นๆตรงหน้าเจ้าบ้าน
แขกผู้มีเกียรติสูงสุด เจ้าบ้านจะให้นั่งใกล้เวิ้ง Tokonoma ที่สุด
ถือว่าเป็นตำแหน่งเกียรติยศ.
ประเพณีชงชาและวิถีชาในห้องโถงใหญ่ shoin
ตามวิลลาของชนชั้นสูงและผู้ร่ำรวยนั้น
ไม่มีหรือสิ้นสุดลงแล้วในปัจจุบัน โดยเฉพาะเมื่อลัทธิเซนแทรกซึมเข้าในจิตสำนึกของชาวญี่ปุ่นทุกชนชั้นมากขึ้นๆ. ทุกคนอยากมีโอกาสเข้าร่วมพิธีชงชาและดื่มชา.
พีธีชาจึงย้ายไปในห้องขนาดเล็กลงมาก,
ใหญ่เพียงพอสำหรับสี่ห้าคนเข้าไปนั่งพร้อมกันเท่านั้น
เกิดสถาปัตยกรรมของเรือนน้ำชา 茶室 (ที่แปลตามตัวว่า ห้องน้ำชาหรือ tea
room)
ที่แยกออกไปจากอาคารที่พักหรือเรือนใหญ่. อาคารชามักอยู่ที่ปลายสวนหรือบนเนินสูง
ต้องเดินลัดเลาะไปในสุมทุมพุ่มไม้
อาจต้องเดินไปบนหินที่วางเป็นทางเดินไปจนถึงที่ตั้ง.
เจ้าของวิลลาที่มีสวนขนาดใหญ่
ใช้เรือนน้ำชาเป็นที่พักผ่อน คลายเครียดจากภารกิจและปัญหาสังคม. เขาจะเดินไปในสวนและไปหยุดพักที่เรือนน้ำชา
ดื่มน้ำชา ปล่อยความคิดคำนึงไปในธรรมชาติ
แทนการครุ่นคิดเรื่องหน้าที่หรือความรับผิดชอบที่รัดตัวเขาอยู่เป็นต้น.
เชิญชมภาพตัวอย่างเรือนน้ำชาหรืออาคารชาข้างล่างนี้
ลักษณะอาคารมองจากภายนอกนั้นดูเรียบง่ายมาก เหมือนกระต๊อบชาวนาที่ดูสะอาดเรียบร้อย
สื่อความสมถะของผู้เป็นเจ้าของ.
ให้สังเกตการเส้นทางเดินที่เป็นกรวดหินก้อนเล็กๆ
และเมื่อเข้าใกล้เรือนก็ใช้ก้อนหินขนาดใหญ่หลายแบบหลายขนาด จัดวางไว้เป็นองค์ประกอบของผังสวน
และเป็นทางก้าวเดินหรือก้าวขึ้นด้วย. อาคารชาเป็นเรือนค่อนข้างเตี้ย
ต้องก้มหัวลงเพื่อเปิดประตูเลื่อนผ่านเข้าไปในห้อง
แล้วก็ต้องนั่งคุกเข่าลงบนพื้นทันที.
ความสูงของประตู
เพดานและสัดส่วนทั้งหลายอยู่ในขนาดเล็ก (คนเตี้ยก็ยังต้องก้มหัวลง)
นี่เป็นประเด็นที่มีนัยสำคัญมากในปรัชญาเซนและในวิถีชา(อ่านในเรื่องต่อไปข้างล่างนี้)
แบบดั้งเดิมใช้ฟางข้าวมุงซ้อนกันหนาเป็นหลังคาเรือน. วัสดุที่ใช้นำมาจากธรรมชาติทั้งสิ้น และพยายามรักษาความเป็นธรรมชาติของวัสดุไว้ครบ. ดังภาพตัวอย่างเรือนน้ำชาในบริเวณวัด
Kodaiji 高台寺 กรุงเกียวโต.
เรือนน้ำชาที่วัด Kodaiji ภาพจากเน็ต muza.chan.net
ช่องเปิดตรงดอกจันนั้นคือทางเข้า (เรียกทางเข้าแบบนี้ว่า Nijiriguchi 躙口)
คนเข้าออกต้องก้มตัวลงมาก(ถึงเก้าสิบองศา สำหรับคนสูงๆ)
เรือนน้ำชาภายในบริเวณสวน Kenrokuen
兼六園, เมือง Kanazawa
金沢市
สังเกตเส้นทางเดินไปมาบนหินจนถึงหน้าประตู
ที่นี่ประตูบานสูงแบบเลื่อนเปิดปิด
ภาพวาด (แบบ ukiyoe)
เห็นว่าประตูเข้าออกเตี้ยๆขนาดสี่เหลี่ยมจัตุรัส
(Nijiriguchi 躙口). สตรีอีกคนกำลังรองน้ำจากอ่างน้ำพุเพื่อนำไปใช้เป็นน้ำในการชงชา
มีท่อต่อจากตาน้ำใต้ดินที่มีในบริเวณพื้นที่ของวิลลา มาถึงหน้าเรือนน้ำชา
หินบนพื้นเป็นเส้นทางเดินที่ขึ้นไปบนเรือน เป็นเหตุหนึ่งที่ญี่ปุ่นสวมเกี๊ยะสูง
เพราะพื้นอาจเฉอะแฉะ
แต่เมื่อพื้นไม่แฉะ
เขาก็คุกเข่าลงบนหินก้อนที่อยู่ตรงหน้าอ่างน้ำหิน. พื้นที่ทั้งหมดรอบๆเรือนน้ำชา
ปกติสะอาดไม่มีที่ติ (เดินสวนญี่ปุ่นทั้งวัน รองเท้าไม่สกปรก
เคยได้ยินหนุ่มอเมริกันใน NHK ทีวี ที่บอกว่า เขาแทบจะเลียพื้นได้เลย!)
เรือนน้ำชาที่สร้างตามสถาปัตยกรรมประเพณีญี่ปุ่น
ให้เป็นตัวอย่างในนิทรรศการพืชสวนของอังกฤษ Chelsea
Flower Show, June 2013.
การสร้างเรือนน้ำชาขึ้นเพื่อพิธีชงชาอย่างเฉพาะเจาะจง
เริ่มจากพระเซนรูปหนึ่งชื่อ Murata
Shukou 村田珠光 [มูราต้า จึ๊กโก](1423–1502). นับถือกันว่าเป็นผู้สถาปนาประเพณีชงชาหรือวิถีแห่งชา. เขาเป็นผู้วางหลักการ กิริยาท่าทางตามขั้นตอนของการเตรียมชาจนถึงการเสริฟชา,
และปลูกฝังจิตสำนึกของประเพณีชงชา.
เขาศึกษาพุทธศาสนาและฝึกสมาธิตามลัทธิเซนอย่างไม่ลดละ ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้มีความเข้าใจรู้แจ้งเกี่ยวกับเซน. เขาใช้ชีวิตวันๆอยู่ในห้องน้ำชาในจังหวัดนารา ศึกษาและกำหนดหลักการของพิธีชงชาให้สมบูรณ์. เป็นผู้เริ่มธรรมเนียมว่า
เขาเองเป็นผู้เสริฟชาแก่แขกผู้มาเยือน เขาชอบความกันเอง
บรรยากาศส่วนตัวในห้องเล็กๆที่ใหญ่พอสำหรับสี่ห้าคน. พื้นห้องปูด้วยเสื่อตะต๊ามิ ขนาดสี่ผืนครึ่งที่เขาเป็นผู้กำหนดเพื่อให้ได้ห้องเล็กที่มีบรรยากาศอันสงบ
จิตใจเปิดกว้างเข้าถึงความหมายลึกล้ำของวิถีแห่งชาตามหลักปรัชญาเซนที่เขาได้เรียนรู้จากวัด
Daikokuji 大国寺
ที่จังหวัดเกียวโต. เขายังสอนให้ผู้สนใจ เรียนรู้ศิลปะอื่นๆที่โยงเกี่ยวไปถึงวิถีชาอีกด้วย.
บุคคลสำคัญอีกผู้หนึ่งที่มีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อวัฒนธรรมชาและอุดมการณ์สุนทรีย์ตามหลักปรัชญาเซนในญี่ปุ่นในศตวรรษที่
16 คือ Sen
no Rikyū 千利休 [เซ็ง โน หริกิว] (1522-1591). คนเรียกเขาสั้นๆว่า Rikyū.
เขาไปเรียนและเข้าฝึกกระบวนการวิถีชาตั้งแต่วัยเยาว์กับครูชาคนสำคัญๆของยุคนั้น (เช่น tea
master Takeno Jo-o) และเข้าถึงจิตวิญญาณของวิถีชาอย่างแท้จริง. ได้เรียนและรับใช้ครูคนสำคัญๆของยุค ได้เห็นวิถีการดำเนินชีวิตของพระสงฆ์และปราชญ์คนสำคัญๆผู้ใช้ชีวิตวันๆอ่านหนังสือ, แต่งบทกวี, คราดกรวดหรือทรายบนพื้นตามรูปลักษณ์ที่กำหนดไว้ ที่เป็นแบบสวนทรายสวนหินให้ดูคงที่สม่ำเสมอ, ฝึกเขียนลายมือแบบอักษรวิจิตร, ฝึกร้องเพลงสวด, เดินทางจาริกแสวงบุญ, บ้างยังฝึกยิงธนู. ในขณะเดียวกันพระเณรในศาสนาก็ร่วมในกิจการงานที่จำเป็นสำหรับหมู่คณะที่เขาอาศัยอยู่
ปลูกผัก ทำสวน ดูแลสถานที่ให้สะอาดเรียบร้อยอยู่เสมอ. ช่วงหนึ่งในชีวิตเขาได้สละทุกอย่างและออกเดินทางไปในชนบทตามต่างจังหวัด
แทบจะไม่มีอะไรติดตัวไปด้วยเลย มุ่งการสั่งสมประสบการณ์
ฝึกสมาธิเพื่อให้เกิดความเข้าใจในตัวตนของตนและรู้แจ้งในสัจธรรมชีวิต.
เขาคำนึงถึงสภาพของสังคม พิธีชงชาในยุคนั้นที่กลายเป็นการแข่งบุญแข่งวาสนา
เป็นการแสดงความฟุ้งเฟ้อที่เขาไม่เห็นด้วย. ครูชาชองเขา (Takeno
Jo-o)และตัวเขาพยายามแทรกอุดมการณ์ใหม่ของ wabi- sabi (ดูหัวข้อ 4 ข้างล่างนี้) ที่เน้นความเรียบง่าย ความเป็นธรรมชาติ
ความงามที่ขัดเกลาจิตใจให้สงบ แทนการกระตุ้นความอยากหรือกิเลส. Rikyū ได้พลิกกระแสสังคมยุคนั้น
หันไปเน้นความเรียบง่ายของพิธี ลดขั้นตอนพิธีกรรมลงไปเพื่อให้ผู้คนผ่อนคลายจนสบายอกสบายใจ ใช้อุปกรณ์แบบธรรมดาสามัญที่ผลิตจากมือนายช่าง
เน้นความสงบของบรรยากาศแทนความโอ่อ่าเฉิดฉาย. โยงไปอิงลัทธิเซนที่เน้นความไม่ยั่งยืนของสรรพสิ่ง
ความเป็นคนที่อาจทำอะไรผิดพลาดได้
จึงไม่ยึดติดกับความสมบูรณ์ของรูปลักษณ์ที่ได้สัดส่วนไม่ผิดเพี้ยนหรือความสวยที่ไร้ที่ติ. เขาเรียกวิถีชาแนวของเขาว่า wabi-cha 侘茶. วิถีวาบิ๊ชาเป็นที่นิยมกันทันทีและเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ในหมู่ชาวญี่ปุ่นผู้ดีเก่าหรือพวกอนุรักษ์นิยม. (ถึงกระนั้น
ปรัชญาเซนและอุดมการณ์ wabi-sabi ก็ยังมิได้ฝังรากลงลึกในหมู่ชาวญี่ปุ่น
ผู้ชื่นชอบและหลงใหลสิ่งสวยงามหรูหราสไตล์ตะวันตก. กระแสคลั่งแบรนด์เนมยิ่งเข้มข้นในหมู่หนุ่มสาว อาจเป็นเพราะพวกเขาไม่ดื่มน้ำชากันแล้ว
หันไปดื่มกาแฟในเครื่องถ้วยชามเนื้อละเอียดหรูอย่างมีระดับ
หรือซื้อน้ำขาดื่มจากขวดปลาสติกที่กลายเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของญี่ปุ่นและส่งออกไปทั่วโลก
สนองชีวิตสะดวกซื้อสะดวกกินของคนยุคใหม่)
วิถีชาที่ Rikyū เริ่มขึ้น ส่งผลต่อรูปแบบการสร้างเรือนน้ำชาภายในสวน. เขาวางกฎใหม่สำหรับเรือนน้ำชา ลดขนาดลงเหลือสองตารางเมตร
ให้อยู่ลึกๆเข้าไปในมุมสงบของสวน ให้ประตูขึ้นเรือนน้ำชาเล็กและเตี้ยกว่าปกติ
เพื่อบังคับให้คนที่จะเข้าไปต้องก้มหัวลง พับ ego และลบความเหลื่อมล้ำต่ำสูงทางสังคมให้หมด ทรุดตัวลงนั่งในระดับเดียวกับคนอื่นๆ พูดคุยกับคนอื่นๆได้อย่างกันเองไม่มีพิธีรีตอง. อุดมการณ์ของเขารวมไปถึงเครื่องใช้ในพิธีชาด้วย
ไม่ต้องการให้ใช้ถ้วยชาหรือหม้อชาราคาแพง
ให้เห็นค่าของช้อนตักผงชาที่เป็นไม้ไผ่ที่เขาใช้มานาน เขาบอกว่ายิ่งเป็นของเก่าแก่
ยิ่งงามเวลา งามความรู้สึกที่ได้ใช้ช้อนนั้นมาเป็นเวลานาน
คุ้นมือเหมือนคุ้นเคยเพื่อนผู้สงบเงียบคนหนึ่ง. Rikyū ตั้งใจกั้นพรมแดนระหว่างโลกของการดื่มชาออกจากโลกสังคมภายนอก. สวนกลายเป็นส่วนสำคัญยิ่งส่วนหนึ่งของวิถีชา
แบบสวนต้องเป็นแบบธรรมชาติมากที่สุด. เส้นทางเดินที่ทอดไปยังเรือนน้ำชาก็จะลดเลี้ยว
เดินไปบนทางปูทรายหรือกรวดขนาดเล็กๆ
บนหินที่บังคับให้มองไปที่หินทีละก้าวเพราะมิได้เรียงติดกันไปและหินก็ขนาดต่างๆกันด้วย. เขาเชื่อว่านี่เป็นส่วนหนึ่งที่เตรียมใจคนให้พร้อมเพื่อเข้าสู่โลกธรรมชาติ และในที่สุดเพื่อให้จิตวิญญาณหลอมตัวกลมกลืนไปกับธรรมชาติของสวน
ได้กลิ่นไม้ กลิ่นหญ้ามอสและต่อไปถึงกลิ่นใบชา ให้รู้สึกสายลม ให้ได้ยินเสียงนก แทรกตัวเป็นหนึ่งเดียวกับโลกธรรมชาติ. เมื่อจบการดื่มชา ต่างแยกย้ายกันไป ผู้เข้าร่วมควรจะรู้สึกสงบภายในใจของเขา. วิธีการดื่มชาจึงเป็นสิ่งปลอบประโลม
ชะโลมใจและบรรเทาความคิดหมกมุ่นทั้งหลายให้คลายลง ทำให้สุขภาพจิตดีขึ้น
สุขภาพกายก็ดีขึ้นตามลำดับด้วย. เพราะฉะนั้นวิถีชาตามหลักการของ
Rikyū
จึงเป็นปรัชญาเพื่อความสงบทางใจ.
วิถี wabi-cha นั้น Rikyū ยังแนะให้ยึดคติที่ว่า
โอกาสที่จะพบกันอาจเป็นโอกาสเดียว ตามหลักพุทธศาสนาคือไม่มีอดีต
ไม่มีอนาคต มีแต่ปัจจุบัน นาทีปัจจุบัน หรือที่เราพูดกันสั้นๆว่า
ที่นี่และเดี๋ยวนี้ สำคัญที่สุด. เพราะฉะนั้นเมื่อมีโอกาสจะดื่มชากับใคร ก็จงฉวยโอกาสนั้น
อย่ารีรอ (ในภาษาญี่ปุ่นคือสำนวน ich-go-ich-e 一期一会 [อิจิ๊โก อิจี๊เอะ]) เพราะฉะนั้น
เมื่อเขาเชิญใครไปดื่มน้ำชา เขาเตรียมทุกอย่างและปฏิบัติตามขั้นตอน
เตรียมขนมหวานที่ผู้รับเชิญชอบกิน
เขาทำด้วยความสุขความจริงใจเพื่อให้เกียรติผู้ที่เขาเชิญมา
และทำให้การเตรียมการดื่มชาแต่ละครั้งเป็นความสุขความพอใจสูงสุด เหมือนที่พูดกันมาในทุกชาติทุกภาษาว่า
ใช้ชีวิตให้เต็มที่เหมือนวันนี้เป็นวันสุดท้าย แต่พึงระวังว่า “เต็มที่” นั้นมิใช่ในทางที่ทำให้จิตเสื่อมลง แต่ในทางที่ยกระดับจิตวิญญาณในสูงขึ้น สอดคล้องกับอุดมการณ์ที่ว่า
ชีวิตที่ดีควรมีความสมดุลไม่มากไม่น้อย ไม่ตึงไม่หย่อน (和 wa [วะ]
), มีจิตที่นอบน้อมถ่อมตน
เคารพซึ่งกันและกัน (敬 kei [เกอิ]), มีจิตที่แจ่มกระจ่าง บริสุทธิ์โปร่งใส (清 sei [เซอิ])
และมีจิตที่สงบ (寂 jaku [จิยักกึ]). อุดมการณ์นี้ควรสะท้อนให้เห็นให้รู้สึกได้ในวิถีชา
ในการจัดสวน จนถึงในงานสร้างสรรค์ทุกชนิด.
ประสบการณ์ส่วนตัวทำให้เข้าใจว่า
ความช้าในพิธีชาทีละขั้นตอน ตั้งแต่การคอยให้น้ำเดือด
ไปจนถึงทำชาเสร็จพร้อมดื่ม พิสูจน์ความอดทนและสอนให้อดทน
จนในที่สุดไม่รู้สึกว่าต้องทน เพราะเมื่อจิตผ่อนคลาย ก็รู้สึกดี
สบายตัวสบายใจในห้องที่เกือบว่างเปล่า เท่ากับไม่มีน้ำหนักอะไรกดทับ. (อยากจะนอนตรงนั้นสักงีบเลย)
เกร็ดย่อยที่น่าคิดคือ Rikyū ได้เป็นครูชา (tea master) ของเจ้าผู้ครองในยุคนั้น
คนสุดท้ายคือ Toyotomi Hideyoshi 豊臣秀吉 (?1536-1598) รัฐบุรุษคนสำคัญยิ่งคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น. Rikyū
พยายามหลีกเลี่ยงการเข้าไปยุ่งกับการเมืองหรือนโยบายใดๆ ซึ่งคงไม่ง่ายนัก
สร้างความอึดอัดใจกันในราชสำนัก. อุดมการณ์ของ Rikyū ที่เน้นความเรียบง่าย ความสมถะ
สวนกระแสแนวโน้มของสังคมยุคนั้น และซ้ำร้ายไม่เป็นที่สบอารมณ์ของ Hideyoshi ผู้เป็นเสมือนเพื่อนสนิทของเขาด้วย
บวกปัญหาอื่นๆอีกมากที่ไม่มีใครรู้สาเหตุชัดเจน ทำให้ Rikyū ตัดสินใจทำ Hara-kiri 切腹 (ฆ่าตัวตายด้วยการใช้มีดคว้านท้องของตัวเอง
ตามวิถีของซามูไร) หลังจากประกอบพิธีชาครั้งสุดท้าย.
Rikyū ยังเป็นผู้วางรากฐานโรงเรียนสอนวิถีชาที่สำคัญที่สุดของญี่ปุ่นสามแห่ง (ที่มีชื่อดังนี้ Urasenke, Omotesenke, Mushanokōjisenke ดูรายละเอียดต่อได้ที่ http://japanese-tea-ceremony.net/schools.html
ดูรายละเอียดอื่นๆเกี่ยวกับ Sen no Rikyū ได้ในเน็ตเช่นจากเพจสองแห่งนี้ >>
พื้นที่เวิ้ง Tokonoma ในห้องน้ำชาดังอธิบายมา ไม่ว่าจะเป็นห้องโถงใหญ่ shoin ในวังหรือวิลลาสมัยก่อนหรือในเรือนน้ำชาขนาดเล็ก เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของห้องทั้งห้อง
เป็นพื้นที่(เกือบพูดได้ว่า)ศักดิ์สิทธิ์.
จึงเป็นที่ตั้งของต้นบ็องไซที่เจ้าบ้านเลี้ยงดูฟูมฟัก
และหากมีต้นบ็องไซตั้งเด่นในเวิ้ง องค์ประกอบอื่นๆกลายเป็นสิ่งที่เข้าไปเสริมต้นบ็องไซและต้องไม่เด่นเกินหน้าต้นบ็องไซ.
ข้าพเจ้าคิดสรุปว่า เพราะต้นบ็องไซคือเลือดเนื้อและวิญญาณของเจ้าบ้านผู้เลี้ยงดูมันมา. หากยึดหลักปรัชญาเซน ต้นบ็องไซเป็น Microcosm ที่โอบอุ้ม Macrocosm อยู่ในตัวมัน. ต้นไม้เพียงต้นเดียวสื่อธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ในจักรวาลได้
มันจึงมีศักดิ์ศรีเหนือองค์ประกอบอื่น เหนือกว่าภาพวาดที่แขวนอยู่
เหนือกว่าหินประดับ (suiseki)
ที่อาจนำเข้าไปตั้งเป็นเพื่อน แม้ว่าหินจะเป็นธรรมชาติส่วนหนึ่ง แต่เป็นส่วนเดียว
เป็นส่วนที่วิวัฒนาการแล้วและหยุดอยู่กับที่
ในขณะที่ต้นบ็องไซยังจะมีชีวิตและวิวัฒน์พัฒนาต่อไปอีก
ต้นบ็องไซจึงสำคัญที่สุดในแง่นี้.
ตามประเพณีโบราณมาของญี่ปุ่น ตั้งแต่เจ้านาย พระสงฆ์ ขุนนาง ซามูไร
ต่างถือเป็นมารยาทผู้ดีที่จะจัดห้องต้อนรับผู้ไปเยือนอย่างสมเกียรติ.
เชิญไปในห้องที่มีบรรยากาศสงบผ่อนคลาย ช่วยให้จิตใจผ่องใส
ละความหมกมุ่นในชีวิตประจำวันลงไปได้ในขณะที่อยู่ในพิธีชงชาและดื่มชา
สำนึกเกี่ยวกับปัญหา ความขัดแย้งหรือหน้ากากสังคม หยุดลงในชั่วขณะนั้น
ดีงจิตวิญญาณสู่สัจธรรมของชีวิตในความเรียบง่ายเมื่อสมบัติใดไม่มีค่าเท่าความสงบในใจคน.
ทำไมต้องเป็นชาหรือ คนจีนปลูกชาและค้นพบสรรพคุณชองชามาก่อนผู้อื่นใด
ตั้งแต่ยุคโบราณมาชาเป็นยาที่ดีที่สุดสำหรับบรรเทาอาการโรคภัยต่างๆโดยไม่มีผลข้างเคียงใดๆเมื่อเทียบกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ
หรือเมื่อเทียบกับกาแฟเป็นต้น.
ประเทศในยุโรปเช่นอังกฤษ ฝรั่งเศส
ได้ศึกษาวิเคราะห์วิจัยชาอย่างต่อเนื่องตามแนววิทยาศาสตร์
และยืนยันสรรพคุณที่เหนือกว่าของชาเสมอมา. ในศตวรรษที่ 19
หรือมิใช่ ที่อังกฤษพบวิธีการขนย้ายพืชพรรณจากมุมหนึ่งของโลกไปสู่อีกมุมหนึ่ง
ด้วยการใช้ตู้กระจกWardian case และที่ Robert
Fortune (1812-1880 นักพฤกษศาสตร์ ที่เป็นนักเดินทางและพรานล่าพืชพรรณชาวสก็อต) ใช้ตู้แบบนี้ ขนส่งต้นชาสองหมื่นต้นจากเมืองเซี่ยงไฮ้
ไปยังแคว้นอัสสัมในอินเดีย
สถาปนาอุตสาหกรรมผลิตใบชาในอินเดีย. ทุกวันนี้
อินเดียกลายเป็นผู้ผลิตใบชาคุณภาพดีที่สุดในโลกหลายชนิด.
มองอย่างซื่อๆง่ายๆ การดื่มชาคือการดื่มธรรมชาติ เสพรสดิน สูดกลิ่นหอมของใบที่มาจากการหลอมตัวกับพลังงานแสงแดด
มาผสมกับน้ำใสบริสุทธิ์(ที่ไหลมาจากตาน้ำใต้ดิน). น้ำชาเกิดจากการรวมตัวของดิน น้ำ ลม ไฟ, รวม “ของดี” ที่ชีวิตต้องการ ไม่มีสารอื่นใดเจือปนเลย. วิทยาศาสตร์พืชพรรณและวิทยาการด้านโภชนาการ
ยืนยันเสมอมาว่าชาไม่เป็นพิษเป็นภัยแก่ผู้ใด. ดื่มได้ทุกเวลา
ทุกเพศและทุกวัย.
ข้าพเจ้าอดนึกจินตนาการต่อไปถึงวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่นผู้ยังยึดติดกับจิตสำนึกงามๆสมัยก่อนโดยเฉพาะระหว่างชายหญิง
สิ่งหนึ่งที่เชื่อมหัวใจคนสองคนได้ยั่งยืน คือเมื่อฝ่ายหนึ่งปรนนิบัติอีกฝ่ายหนึ่งด้วยการประกอบพิธีชงชา
เรียบง่ายแต่ตั้งใจ ในสภาพแวดล้อมสงบ อากาศดี ท้องฟ้าแจ่มใส หรือแม้ในความเงียบสงัดของยามราตรี
ใต้แสงดาวหรือแสงเดือน ไม่ต้องมีคำพูดใดๆเลย แต่ดวงใจสองดวงเข้าถึงกันและกันได้
จิบน้ำชาและปล่อยอารมณ์ไปกับธรรมชาติ คำสัญญาเกิดขึ้นในใจคนทั้งสอง
พวกเขาจะไม่ลืมกัน… และหากมีต้นบ็องไซสักต้นในที่นั้น ต้นบ็องไซก็เป็นพยานความผูกพันของทั้งสอง
มันพลอยปลาบปลื้มไปด้วยแน่นอน!!!
4. Wabi-Sabi 侘寂 สรุปเป็นคำอธิบายสั้นๆของสำนวน wabi-sabi ได้ว่า
วาบิ๊ 侘
ความหมายดั้งเดิมแปลว่า โดดเดี่ยว อ้างว้าง น่าสังเวชฯลฯ แต่ต่อมาในศตวรรษที่ 14 ความหมายเปลี่ยนไปในแง่มุมที่ดีขึ้น
กลายเป็นความโดดเดี่ยวที่แสนหวานเมื่อมีโอกาสอยู่ตามลำพังในความสงบของธรรมชาติแวดล้อม
เป็นโอกาสให้สัมผัสอารมณ์สะเทือนแบบต่างๆ เป็น bitter sweet melancholy.
ซาบิ 寂 ดั้งเดิมแปลว่า ผอมแห้ง ยากไร้ แบบบ้านนอก
ไม่มีระดับเป็นต้น โยงไปถึงความไม่จีรังยั่งยืนของสรรพสิ่ง
ที่กาลเวลาได้ขัดเกลาหรือสัมผัสและทิ้งเป็นรอยเตือนมรณานุสติ
รวมกันแล้วเป็นปรัชญาความงามและความอิ่มเอิบใจจากสภาพแวดล้อมธรรมชาติ
จากสรรพสิ่งที่เรียบง่ายในวิถีชีวิตที่ไม่หรูหราฟุ้งเฟ้อ เห็นความงามในความไม่สมดุลสมบูรณ์ในข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นโดยไม่พยายามกลบเกลื่อนแต่แก้ไขให้เรียบร้อยที่สุด
อะไรที่ผิดรูปไปบ้างก็ไม่ปกปิด เพราะนั่นเป็น human imperfection
ให้เห็นความงามของสิ่งที่ผ่านกาลเวลามาและมีรอยนิ้วเป็นพยานของอัตลักษณ์ของคนทำ
อุดมการณ์นี้จึงสอนและนำไปสู่การรู้จริงและรู้แจ้ง ที่สุดท้ายสอดคล้องกับปรัชญาเซนและปูทางไปสู่การสถาปนาขนบพิธีชงชา.
มีวีดีโอภาษาอังกฤษที่สรุปสั้นและง่ายเกี่ยวกับหลักสุนทรีย์ Wabi-sabi ผู้สนใจตามไปดูได้ที่นี่ >>
https://www.youtube.com/watch?v=QmHLYhxYVjA
5. คำจีน 文人(ที่อ่านแบบญี่ปุ่นว่า bunjin) อักษรจีนตัวแรกแปลว่า ภาษาหรือวรรณคดี, ตัวที่สองแปลว่า คน. รวมกันมีความหมายว่า คนที่อ่านออกเขียนได้ โดยนัยคือปัญญาชน ผู้คงแก่เรียน. คำนี้พบในจารึกโบราณจีนตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 2
ถึง 3 ก่อนคริสตกาล. คำนี้นำไปใช้อธิบายแจกแจงคุณสมบัติที่ดีและสติปัญญาที่แจ่มกระจ่างในขนบวัฒนธรรมหลายรูปแบบ
เช่นโยงไปถึงความรู้ในแขนงต่างๆ มีปรัชญา ประวัติศาสตร์ วาทะศิลป์ และศิลปะอักษรวิจิตรเป็นต้น. สำนวนนี้จึงนำไปใช้อธิบายศิลปะการวาดภาพสีหมึกด้วย ที่เรียกว่า文人画 bunjinga
(ในความหมายว่า ภาพสไตล์ปราชญ์), ในศิลปะการแสดงดนตรีเช่นพิณจีน, ในเกมหมากรุก go 圍棋 และในงานช่างศิลป์ต่างๆเช่น การแกะตราประทับ, การออกแบบแฟชั่น, การออกแบบตกแต่งภายใน, การเลี้ยงบ็องไซไปจนถึงการทำสวน.
ลักษณะเฉพาะของอุดมการณ์ bunjin
โดยทั่วไปคือภูมิปัญญาที่จักเป็นประโยชน์ต่อสรรพสิ่ง
ที่แฝงอยู่ในจิตที่ใฝ่สูง ในวิญญาณที่อิสระ ที่รักความสันโดษ ที่ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก
ที่กล้าผจญภัย ที่รู้จักมองและเห็นความงามในสภาพภูมิประเทศของขุนเขาสูงทะมึนเป็นต้น.
ภาพวาด bunjinga ของจีนเป็นตัวอย่างของจิตสำนึกดังกล่าว.
ปัญญาชนชาวญี่ปุ่นในศตวรรษที่
19 ได้ซึมซับอุดมการณ์จีนดังกล่าว
นึกเทียบตนเองว่าเป็นดั่งต้นไม้รูปทรงปัญญาชนในภาพวาดจีน และต่อมาก็ต้องการถ่ายทอดภาพลักษณ์ของต้นไม้ในภูมิประเทศที่หฤโหดของหุบเขาสูงชันในจีน
ลงบนต้นบ็องไซ จึงเกิดต้นบ็องไซทรงปัญญาชนขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นต้นบ็องไซแบบแรกๆของญี่ปุ่นด้วย.
ต้นบ็องไซรูปทรงนี้ ดูเรียบๆ
ลำต้นที่ผอมเรียวและกิ่งก้านที่เหลือน้อยที่สุด มองดูเบาโหวงเหมือนหลุดจากกรอบ.
อาจเป็นบริบทนี้กระมังที่โดนใจปัญญาชนญี่ปุ่น
ผู้ต้องการความสงบทางใจ ก้าวข้ามความวุ่นวายของสังคม สู่ความสันโดษและพัฒนาความสุขที่ประณีตในความเรียบง่าย
ที่สอดคล้องกับหลักการ wabi-sabi วาบิ๊-ซาบิ ในสุนทรีย์ญี่ปุ่นด้วย.
เมื่อตระกูล Tokugawa ขึ้นบริหารประเทศในราวปี 1600 การรบราฆ่าฟันระหว่างตระกูลที่ต้องการยึดอำนาจสงบลง
เปิดศักราชใหม่ของญี่ปุ่น เป็นสมัยเอโด๊ะตั้งแต่นั้นจนถึงราวปี 1868. แม้ว่าญี่ปุ่นจะปิดตัวเอง
แต่เกิดชนชั้นใหม่ที่เป็นชนชั้นกลางที่ร่ำรวยจากการค้าขายและชนชั้นข้าราชการชั้นสูง.
ยุคนั้นโชกุนอุปถัมภ์ตระกูลศิลปินไว้สองสามตระกูล เป็นตระกูลช่างวาดช่างตกแต่ง
เช่นตระกูล Kano และตระกูล Tosa ผู้ได้รับมอบหมายให้บูรณะตกแต่งเพดานและผนังกำแพงภายในวัง. นายช่างทั้งหลายได้แบบอย่างและแรงบันดาลใจจากแบบและเนื้อหาศิลปะที่เคยมีมา
และค่อยๆแทรกฉากชีวิตและภาพเหมือนของคนยุคเอโด๊ะเข้าไปในงานสร้างสรรค์ของพวกเขา. ผลงานของพวกเขาเป็นที่นิยมชมชื่นในหมู่ผู้ร่ำรวยผู้อุปถัมภ์ศาสตร์และศิลป์ในสังคมยุคนั้น.
ญี่ปุ่นสมัยเอโด๊ะพัฒนาขึ้นทั้งทางวัฒนธรรมและทางเศรษฐกิจ
ภายในเครือข่ายของตน แต่ในขณะเดียวกันที่เมืองนางาซากิ
กลับมีการแลกเปลี่ยนการค้าระหว่างญี่ปุ่นกับจีนมากขึ้น
โดยเฉพาะกับจีนและกับกลุ่มพ่อค้าโปรตุเกสที่เมืองมาเก๊า. ศิลปินชาวญี่ปุ่นค้นพบศิลปวัฒนธรรมจีนสมัยคริสต์ศตวรรษที่
14-15 จากหนังสือต่างๆ. พวกเขาได้เห็นศิลปะอันประณีต
ลุ่มลึก แฝงด้วยปรัชญาจากลัทธิขงจื้อที่มีอิทธิพลต่อวิสัยทัศน์ของศิลปินจีนเกี่ยวกับธรรมชาติและภูมิประเทศด้วย.
ลำต้นเปล่าเปลือยของต้นไม้ กิ่งก้านสวยเรียบๆ
เหมือนศิลปะอักษรวิจิตรแบบหนึ่ง พอจะจัดได้ว่ามีอะไรที่สื่อ “ปัญญาบริสุทธิ์”. จิตรกรชาวจีนและต่อมาชาวญี่ปุ่น
ใช้พู่กันป้ายหมึกแตะลงไปบนแผ่นกระดาษวาดเขียน
ถ่ายทอดวิสัยทัศน์และอุดมการณ์ของธรรมชาติให้ประจักษ์
ได้กลายเป็นต้นแบบของจิตรกรรมแบบหนึ่งอย่างถาวร. แม้จะมีกฎมีขนบที่ควบคุมการสร้างสรรค์ตามกระแส bunjinga ถ้าเพ่งพิจารณาให้ดี
ทิวทัศน์แบบนี้มีรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่ต่างกัน เช่นรูปแบบองค์ประกอบแต่ละอย่างที่ทำให้ภาพรวมในแต่ละภาพไม่เหมือนกันเลยทีเดียว. จิตรกรหรือช่างเขียนอักษรวิจิตร
ต้องมีจิตที่สงบ มีสมาธิ ก่อนที่จะแต้มสีลง. ภาพภูมิทัศน์ที่แสดงออกมาเป็นเพียงสิ่งที่กระตุ้น
นำผู้ดูให้เห็นตัวตน เข้าถึงความคิดคำนึงของจิตรกร เช่นภาพลักษณ์ง่ายๆของศาลาหลังเล็กหลังเดียวบนเขาที่จิตรกรป้ายสีเพียงไม่กี่ครั้ง รูปลักษณ์ห่างไกลจากความเป็นจริง
หรือเป็นแบบรวบรัดตัดย่อเท่านั้น. การสร้างสรรค์ของศิลปินกระแสนี้ในที่สุดคือการตรึกตรองเกี่ยวกับชีวิต
ระหว่างโลกที่เห็นด้วยตากับโลกที่รู้สึกได้ด้วยหัวใจและจิตวิญญาณ.
ศิลปินญี่ปุ่นสามคนที่ยกย่องเชิดชูศิลปวัฒนธรรมจีนในยุคนั้นคือ Gion Nankai (1676-1751), Yanagisawa Kien
(1704-1758) และ Sakaki Hyakunen (1697-1752) พวกเขาได้แรงบันดาลใจทั้งเนื้อหาและเทคนิคจากศิลปินชาวจีนภาคใต้หรือจากดินแดนแถบ
Nanzonghua 南宗畫 จึงเป็นที่มาของสำนวน Nanga 南画
ในภาษาญี่ปุ่น (แปลตามตัวว่า ใต้ + ภาพ หมายถึงจิตรกรรมจากภาคใต้ ). เกิดกระแสศิลปะแนวใหม่ในญี่ปุ่น
ศิลปินญี่ปุ่นแต่ละคนจะโยงผลงานของตนไปยังภาพจิตรกรรมจีนภาพใดภาพหนึ่งที่เขาชื่นชอบ
พัฒนาฝีมือและแทรกโลกทัศน์ส่วนตัวของเขาควบคู่ไปด้วย จนในที่สุดก้าวสู่การสร้างสรรค์แบบเฉพาะตัวของพวกเขาเอง.
จิตรกรรมกระแสนี้มักเป็นสีเดียว
แต่บางทีก็แต่งแต้มสีอื่นลงไปด้วยเพื่อสื่อการแปรเปลี่ยนของฤดูกาลเป็นต้น.
ศิลปินจีนเป็นปัญญาชนที่แสดงศักยภาพและวิสัยทัศน์ส่วนตัวในภาพของพวกเขา
พวกเขามีเสรีภาพในการสร้างภาพตามจินตนาการและอุดมการณ์ของพวกเขา
ไม่น้อยไปกว่าศิลปินที่เป็นพระสงฆ์ชาวพุทธหรือผู้ที่นับถือลัทธิขงจื้อ. ส่วนศิลปินญี่ปุ่นมิได้ทำงานเป็นเอกเทศ
พวกเขาขึ้นอยู่กับผู้อุปถัมภ์
ขึ้นอยู่กับเจ้านายศักดินาที่เขาทำงานให้
จึงไม่อาจพัฒนาศักยภาพให้เต็มตามวิสัยทัศน์ส่วนตัวได้. ถึงกระนั้นศิลปินญี่ปุ่นเองก็รวมตัวกันเรียกร้องสถานะของปัญญาชนผู้ต้องการสำรวจและทดลองวิธีการแสดงออกแนวใหม่ๆในศิลปะแขนงต่างๆที่รวมไปถึงการเขียนอักษรวิจิตร
ดนตรี กวีนิพนธ์ ให้ทัดเทียมกับศิลปินชาวจีน. ศิลปินญี่ปุ่นสี่คนนี้คือ Ike No Taiga (1723-1776) และ Yosa Buson (1716-1783) อีกทั้ง Tanomura Chikuden (1777-1835) กับ Tani Buncho (1763-1840). ทั้งสี่คนเป็นตัวแทนที่โดดเด่นที่สุดของกระแส Nanga พวกเขาสามารถก้าวข้ามหลักการหรือกรอบที่บางครั้งเข้มงวดเกินไปของจีน
และสร้างแนวศิลปะส่วนตัวของแต่ละคนได้อย่างเต็มภาคภูมิ. ศิลปินสี่คนนี้มีอิทธิพลต่อศิลปินญี่ปุ่นรุ่นหลังๆที่ตามมาอย่างชัดเจนไม่เสื่อมคลาย.
6. Mono no Aware 物の哀れ [โมโน้ โน อ๊าวาเหระ] หรือ the pathos of things แปลตามตัวอักษรได้ว่า
ความเปราะบางของสรรพสิ่ง.
เป็นสัจธรรมที่เราได้ยินเสมอ พระอาจารย์ทั้งหลายต่างย้ำแล้วย้ำอีกให้เห็นความไม่ยั่งยืนของสรรพสิ่งทั้งที่มองเห็นและที่มองไม่เห็นเช่นความคิด
ความรู้ อารมณ์ ความรู้สึกใดๆ ทั้งหมดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และจะจบลง (ในภาษาญี่ปุ่นใช้คำว่า mujō 無常[หมู่โจ]). ทั้งหมดเกิดจากนิวรณ์แบบใดแบบหนึ่ง(นิวรณ์๕).
คนที่รู้แจ้งในสัจธรรมย่อมพยายามสลัดนิวรณ์เหล่านี้ให้หลุดออก(อาจพูดได้ว่าเป็นผู้มีอินทรียสังวร
มีญาณสังวรเป็นต้น)
และไม่ตกเป็นเหยื่อของความสุ่มหลงใดๆที่รังแต่นำความทุกข์มาให้. พุทธศาสนาของเรามุ่งให้เรากำจัดทุกข์ลงไปเรื่อยๆ
ขจัดการยึดติด จนไปสู่ภาวะไร้ทุกข์ สู่ความว่าง สู่นิพพาน.
ปรัชญาญี่ปุ่นก็เข้าถึงสัจธรรมนี้
แต่ที่พิเศษไปอีกแนวหนึ่งในหมู่ปัญญาชนของญี่ปุ่น คือความตระหนักรู้ดังกล่าว ยิ่งทำให้สรรพสิ่งมีค่าสูง
มีความงามเพิ่มขึ้น มีอำนาจผลักดันอารมณ์สะเทือนออกไปถึงที่สุด สร้างความสุขในความอาลัยอาวรณ์ว่าความสุขนั้นเป็นเพียงชั่วครู่. พวกเขามิได้เน้นการขจัดนิวรณ์
ตัดความรู้สึกใดๆทิ้งแต่เสพเหมือนยอมกินยาขมๆด้วยใจทั้งสุขและทุกข์. มีนักวิจารณ์เขียนไว้ว่า
สำหรับชาวญี่ปุ่น หากทุกอย่างยั่งยืนชั่วนิรันดร์ สรรพสิ่งก็หมดอำนาจลง
หมดอำนาจที่จะก่อให้เกิดอารมณ์สะเทือน หมดอำนาจที่จะทำให้คนรัก คนชมความงาม หรือสร้างสรรค์งานศิลป์ใดๆ
แต่เพราะความไม่ยั่งยืนนั่นเองที่ทำให้ทุกสิ่งแสนหวานแสนสวย
พวกเขายอมรับความไม่ยั่งยืนของชีวิต ในขณะเดียวกันก็สำนึกและรู้คุณค่าในฐานะที่เป็นแรงกระตุ้นให้พวกเขาเสพสุขอย่างเต็มที่ในชีวิตด้วย. ความตระหนักรู้และท่าทีดังกล่าวกลายเป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดการจารึกถ่ายทอดความรู้สึกเร้นลับซับซ้อนในใจคน
ความกังขา ห่วงหาฯลฯ หรือเมื่อเสียงนกร้องกู่เรียกในธรรมชาติก็ทำให้นึกถึงตนเองที่คอยการกลับมาของคนรัก. ภาพดอกซากุระที่ร่วงหล่นในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ก็ทำให้นึกถึงวัยสาวของตนที่จะล่วงลับไปเป็นต้น. การแสดงออกด้วยการเขียนบันทึกบนกระดาษเป็นลายมือต่อๆไปไม่สิ้นสุด
เป็นร้อยแก้วหรือบทกวีกลายเป็นแนวการประพันธ์
เป็นวัจนะลีลาของวรรณกรรมที่ขึ้นชื่อเลื่องลือเรื่อง The Tale of Genji (源氏物語
Genji monogatari, ผู้แต่งเป็นหญิงชื่อ
Murasaki
Shikibu) ที่แต่งขึ้นในต้นคริสต์ศตวรรษที่
11. วัจนะลีลาของวรรณกรรมเรื่องนี้ ตรึงใจผู้อ่านทุกชาติ
(มีการแปลออกเป็นภาษาต่างประเทศหลายสิบภาษา)
เพราะผู้อ่านเหมือนเข้าไปนั่งอยู่ในใจของผู้ประพันธ์
มีความรู้สึกร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับผู้แต่ง
รู้สึกเห็นใจอาลัยอาวรณ์ว่าทุกสิ่งก็จะผ่านไป
และเห็นความสำคัญของอดีตที่ยังคงชัดเจนในปัจจุบัน.
วรรณกรรมเรื่อง The Tale of Genji เป็นตัวอย่างแบบฉบับของปรัชญาญี่ปุ่นที่สรุปอยู่ในสำนวนสั้นๆว่า
Mono no aware. วัจนะลีลาของเรื่องนี้ได้เป็นแบบอย่างของงานสร้างสรรค์ทางวรรณกรรมของญี่ปุ่นต่อๆมา
จนมาถึงในสมัยใหม่ ก็ยังเป็นแนวการถ่ายทำภาพยนต์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของภาพยนต์ญี่ปุ่น. วิธีการดำเนินเรื่องในภาพยนต์ญี่ปุ่นตามนัยของ
Mono no Aware เช่นแทนการให้นักแสดง แสดงความรู้สึกทางสีหน้า
ท่าทางหรือแววตา กลับหันไปใช้ความนิ่ง
ความคงอยู่ของสรรพสิ่งรอบข้างที่เคยมีเคยอยู่ณตำแหน่งนั้น
สภาพห้องที่ทุกอย่างเหมือนเดิม แต่ไม่มีอะไรเหมือนเดิมแล้ว เพราะคนหนึ่งที่เคยอยู่ที่นั่นไปแล้ว
ไม่อยู่แล้ว. หรือในความชุลมุนของเหตุการณ์ที่เพิ่งสิ้นสุดลง
คำพูดเดิมๆที่เคยถามเคยพูดกันมานับครั้งไม่ถ้วนระหว่างคนในหมู่บ้านเดียวกันหรือในครอบครัวเดียวกันเช่น
“วันนี้ อากาศดีนะ” ไม่มีคำพูดอื่น
ไม่มีการคร่ำครวญ การระบายอารมณ์ใดๆ แล้วต่างคนต่างเดินจากไป หรือเดินต่อไปในชีวิตประจำวันแบบเดิมๆ
โดยที่แท้จริงในจิตใจไม่มีอะไรเหมือนเดิมเพราะสิ่งที่รักที่สุด
สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่อยู่แล้ว จบลงไปแล้ว ยอมรับและยอมจำนนต่อชะตาชีวิตเป็นต้น. นี่เป็นตัวอย่างของนัยความหมายของสำนวนนี้ในภาษาญี่ปุ่น.
รายละเอียดเพิ่มเติม เกี่ยวกับลัทธิเซน.
บันทึกความสนใจส่วนตัวของ โชติรส โกวิทวัฒนพงศ์ ณ
เดือนสิงหาคม ๒๕๕๙.
เจาะสามมิติเรื่องบ็องไซ
Trilogy of Bonsai
A. กำเนิดและวิวัฒนาการของศิลปะบ็องไซในญี่ปุ่น พิพิธภัณฑ์บ็องไซที่โอ๊มิยะ
เชิญเข้าไปดูได้ที่นี่ >> http://chotiroskovith.blogspot.com/2016/08/trilogy-of-bonsai.html
B. บ็องไซคืออะไร
ทำไมบ็องไซ ประเภทและรูปลักษณ์ของต้นบ็องไซ
เชิญเข้าไปดูได้ที่นี่ >> http://chotiroskovith.blogspot.com/2016/08/b.html
C. บ็องไซในปรัชญาและสุนทรีย์ของญี่ปุ่น
เชิญเข้าไปดูได้ที่นี่ >> http://chotiroskovith.blogspot.com/2016/08/c.html
No comments:
Post a Comment