Sunday 25 February 2018

เจ้าจงฟังดนตรีเถิดชื่นใจ - The Nightingale



ตื่นขึ้นวันนี้ นึกถึงนกไนติงเกล จินตนาการเสียงร้องอันไพเราะที่เล่ากันมาในเทพนิยาย The Nightingale ของนักเล่านิทานชาวเดนมาร์กชื่อ Hans Christian Andersen [แฮ้นซ คริสเตียน อานาเสิ่น] (1805-1875). Andersen เป็นนักเขียน กวี แต่งบทละครด้วย ผลงานส่วนใหญ่ถูกลืมไปเสียส่วนมาก แต่เทพนิยายของเขาที่รวบรวมไว้ระหว่างปี 1835-1872 ทำให้เขามีชื่อเสียงไปทั่วโลก. เรื่องนกไนติงเกลเป็นเรื่องหนึ่ง.
ภาพวาดของ William Heath Robinson, 1872-1944 (illustrator), 1913 [Public domain], via Wikimedia Commons.
เล่ากันมาว่า   
    พระราชวังและสวนของจักรพรรดิจีนใหญ่โตอลังการ ประณีตและเปราะบางเพราะเป็นอาคารพอร์สเลนทั้งหมด มีส่วนต่อขยายออกไปในป่าจนถึงชายฝั่งทะเลลึก. ที่นั่นมีนกไนติงเกลตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในหมู่ไม้ใบหนา ทุกวันมันร้องเพลงเสียงไพเราะเสนาะหู. ชาวประมงที่อาศัยในบริเวณนั้น มีงานประมงล้นมือ แต่ก็หยุดนิ่งฟังเสียงเพลงของนกทุกครั้ง. นักเดินทางต่างชาติที่ไปถึงเมืองจีน ต่างตื่นตะลึงในความงามและความมเหาฬารของพระราชวังจีน และเมื่อได้ยินเสียงนกไนติงเกลร้องเพลง ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ใต้หล้าแผ่นดินจีน เสียงนกไนติงเกลนั้นวิเศษเหนือสิ่งใด.
     มีผู้แต่งบทกวีเล่าถึงความงามอลังการของเมืองจีน พระราชวังและอุทยานที่พวกเขา ได้เห็น และทุกคนพร่ำรำพันถึงเสียงนกไนติงเกลว่าไพเราะอัศจรรย์เพียงใด. บันทึกเดินทางหรือหนังสือที่ชาวต่างชาติเขียนไว้ ตกมาอยู่ในมือของจักรพรรดิจีน มีเล่มหนึ่งที่จักรพรรดิญี่ปุ่นส่งมาถวายพระองค์. อ่านแล้วจักรพรรดิก็แปลกใจว่า มีนกเสียงสวรรค์ในพระราชอาณาจักรโดยที่พระองค์ไม่รู้เรื่องเลย จึงมีรับสั่งให้ไปตามหานกไนติงเกลตัวนั้นให้ได้ มิฉะนั้นทุกคนจะถูกลงอาญา.
     ทุกคนพยายามค้นหาทุกซอกทุกมุมในพระราชวังและพระราชอุทยาน แต่ก็ไม่พบร่องรอยของนกไนติงเกล. ข้าราชสำนักไม่เคยเห็นนก ไม่เห็นได้ยินเสียงนกไนติงเกล. จนไปพบเด็กสาวก้นครัว ผู้รู้ว่านกไนติงเกลอยู่ที่ไหน เธอเล่าว่าทุกเย็นเธอได้รับอนุญาตให้นำเศษอาหารที่เหลือจากโต๊ะอาหารไปให้แม่ที่เจ็บป่วยที่อาศัยอยู่ในป่าริมฝั่งทะเล และทุกครั้งที่เธอกลับจากเยี่ยมแม่ เธอนั่งพักเหนื่อยในป่าไม้นั้น เธอจะได้ยินเสียงนกไนติงเกลร้องเพลงเสมอ และทุกครั้งเธอซาบซึ้งใจจนน้ำตาไหล เพราะเสียงเพลงของนกเหมือนจุมพิตจากแม่. อำมาตย์สัญญาว่าจะให้เธอมีหน้าที่การงานประจำในครัวหลวง หากเธอพาไปหานกไนติงเกลได้. เธอยินดีพาไป ข้าราชบริพารติดตามไปหลายคน ระหว่างทางมีเสียงวัวร้องมอๆ ทุกคนคิดว่าคือเสียงนก ต่อมาได้เสียงกบ ก็คิดกันว่าคือเสียงนกไนติงเกล เพราะไม่เคยมีผู้ใดเคยได้ยินนั่นเอง. จนไปเห็นนกไนติงเกลที่ชายป่าริมฝั่งทะเล เมื่อเด็กหญิงชี้ให้ดูนกไนติงเกลในหมู่ไม้ ทุกคนแปลกใจว่า เจ้านกสีเทาๆตัวเล็กๆนั่นน่ะหรือที่ร้องเพลงได้ไพเราะ. แต่เมื่อได้ยินเสียงนกร้องเพลง ก็ปลาบปลื้มดีใจกันมาก รีบเชิญนกไปที่พระราชวัง. นกบอกว่าเสียงมันเพราะที่สุดในป่าไม้ใบเขียว แต่มันก็ยินดีไปที่พระราชวังตามพระประสงค์ของจักรพรรดิ.
นกไนติงเกลพันธุ์สามัญ ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Luscinia megarhynchos.
ภาพจากเว็ป AZ Animals.
    จักรพรรดิทรงดีพระทัยมาก จัดงานเลี้ยงเป็นพิเศษ ทุกคนแต่งตัวสวยงามตามยศฐาบรรดาศักดิ์. กลางท้องพระโรง ทรงสั่งให้จัดตั้งกิ่งไม้ทองคำให้นกไนติงเกลเกาะ. ได้เวลา นกไนติงเกลร้องเพลงเสียงใสเสนาะหูยิ่งนัก จักรพรรดิซาบซึ้งจนน้ำตาไหล. เมื่อนกหยุดร้อง จักรพรรดิประกาศยกฉลองพระบาททองคำของพระองค์เป็นรางวัลแก่นกไนติงเกล. นกขอไม่รับ บอกว่าได้รับรางวัลมีค่าที่สุดแล้วเมื่อได้เห็นน้ำพระเนตรของจักรพรรดิ และนั่นเป็นเกียรติยศสูงสุดของมันแล้ว.
    ตั้งแต่นั้น นกไนติงเกลมีกรงส่วนตัวอยู่ในพระราชวัง ออกจากกรงได้วันละสองครั้งและหนึ่งครั้งในตอนกลางคืน. มีผู้รับใช้สิบสองคนคอยดูแลเมื่อนกบินออกจากกรง มีเชือกไหมเส้นเล็กๆผูกติดขานกไว้ข้างหนึ่ง. ทุกหนทุกแห่งในแผ่นดินจีน ผู้คนคุยกันเรื่องนกไนติงเกลทั้งสิ้น. ชื่อนกไนติงเกลใช้เป็นชื่อเด็กสิบเอ็ดคน ด้วยความหวังว่าเด็กเหล่านี้จะเรียนร้องเพลงได้ไพเราะเหมือนนกไนติงเกล แต่ไม่มีใครร้องโน้ตใดของนกไนติงเกลได้เลย.
     วันหนึ่งจักรพรรดิญี่ปุ่นทรงส่งนกกลไขลานมาเป็นของกำนัลแด่จักรพรรดิจีน. เป็นนกไนติงเกลจำลองที่เหมือนนกจริงๆ แต่สวยงามกว่า ประดับด้วยเพชร พลอยหลากสีและทับทิม. เมื่อไขลานแล้ว มันก็ร้องเพลงเหมือนนกจริงๆทั้งยังขยับหางที่ทำด้วยเงินสลับทอง ขึ้นๆลงๆ ส่องแสงเป็นประกายวาบวับ. ทั้งราชสำนักคิดว่าให้นกตัวจริงกับนกกลร้องเพลงคู่กันเลย แต่ไม่เป็นผล เพราะนกตัวจริงร้องไปตามธรรมชาติของมัน แต่นกตัวจำลองร้องตามที่คนสร้างกำหนดให้มันเท่านั้น และก็ร้องซ้ำๆสิบๆครั้งก็เหมือนกันหมด แต่ตัวมันสวยน่าชมกว่า. ในขณะที่ทุกคนตื่นเต้นไปกับประกายเพชรพลอยและสีเงินสีทองของนกจำลอง นกไนติงเกลตัวจริงบินออกไป กลับสู่ป่าไม้เขียวที่มันเคยอยู่.
    ข้าราชบริพารทุกคนประณามว่านกไนติงเกลเป็นสัตว์อกตัญญู. มหาอำมาตย์กราบทูลหว่านล้อมว่า นกตัวจำลองนี้สวยกว่า มีเพชรประดับมีค่า และเสียงเพลงของมัน เรารู้ว่ามันจะร้องอะไร เราศึกษาเพลงได้ว่าพัฒนาอย่างไรจากเสียงหนึ่งไปอีกเสียงหนึ่ง แต่นกจริงนั้น ไม่มีใครรู้หรือเดาได้ว่ามันจะร้องอะไร. ในที่สุดจักรพรรดิอนุญาตให้มหาอำมาตย์นำนกตัวจำลอง ไปเปิดให้ประชาชนทุกคนได้ฟังโดยถ้วนหน้ากัน. กลุ่มชาวประมงผู้คุ้นเคยกับเสียงนกไนติงเกลในป่าริมทะเล ต่างพูดในใจว่า เสียงนกกลนั้นมันมีบางอย่างขาดหายไป. นกไนติงเกลตัวจริงถูกปลดจากราชสำนัก นกกลเข้าแทนที่ ไปอยู่บนหมอนไหม ข้างเตียงจักรพรรดิ. หัวหน้าฝ่ายดุริยางคศิลป์ได้แต่งหนังสือเกี่ยวกับนกกล เป็นข้อมูลกลไกการสร้างนกกลตัวนั้น รวมกันถึง25เล่ม และชาวจีนทุกคนต้องอ่านและเข้าใจ.
     หนึ่งปีผ่านไป ทุกคนร้องเพลงตามนกกลได้ จักรพรรดิก็เช่นกัน ทุกคนสนุกสนานกันเช่นนี้. เย็นวันหนึ่ง ตัวนกกลมีเสียงครืดคราดแล้วหยุด ช่างนาฬิกาถูกตามมาให้ซ่อมนกกล แต่ระบบฟันเฟืองในตัวนกเสื่อมลงๆตามกาลเวลาและการใช้งาน แม้หลังซ่อมแล้ว เพื่อความปลอดภัย จึงมีพระราชโองการให้ไขลานนกกลเพียงปีละครั้ง.
     ห้าปีผ่านไป จักรพรรดิล้มป่วย ทุกคนคิดว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์ในไม่ช้า จักรพรรดิองค์ใหม่ก็พร้อมจะขึ้นครองบัลลังก์ทันที. จักรพรรดินอนแน่นิ่ง หน้าซีดขาว ข้าราชสำนักต่างพากันไปประจบสอพลอเสนอหน้าต่อว่าที่จักรพรรดิองค์ใหม่ เหล่าพระสนมทั้งหลายปลีกตัวไปสังสันทน์กัน. ตามกฎมณเฑียรบาล ข้าราชบริพารนำผ้าหนาๆมาปูพื้นในพระราชวังทุกกระเบียดนิ้ว เพื่อไม่ให้มีเสียงฝีเท้าของผู้ใดเดินไปมาเลย ทั้งวังจึงเงียบสนิท. แต่องค์จักรพรรดิยังไม่สิ้นพระชนม์ หน้าต่างบานใหญ่ในห้องบรรทม เปิดกว้าง แสงเดือนสาดส่องไปต้ององค์จักรพรรดิและนกกลที่อยู่ข้างเตียง.
     จักรพรรดิรู้สึกหายใจไม่ออก เหมือนมีอะไรหนักๆทับบนหน้าอก ลืมตาขึ้น เห็น“ความตาย”นั่งบนหน้าอกของพระองค์. เจ้าความตายสวมมงกุฎของพระองค์ มือหนึ่งถือดาบอาญาสิทธิ์ อีกมือหนึ่งถือธงประจำพระองค์. รอบๆเตียงเห็นหัวดำๆลอยมาชุมนุมกันมากมาย แทรกและแหวกหน้าผ่านม่านกำมะหยี่เข้าไปจ้องพระองค์. บางหัวน่าขยะแขยง บางหัวดูอ่อนโยนน่ารัก. หัวทั้งหลายที่จ้องมองตาของจักรพรรดิ คือกรรมดีกรรมชั่วที่จักรพรรดิเคยทำ ความตายนั่งบนหน้าอก ณตำแหน่งหัวใจของจักรพรรดิ. ทั้งหมดรุมกันถามจักรพรรดิว่า จำได้ไหมว่าเคยทำอะไรไว้  จำเรื่องนั้นได้ไหม(เคยสั่งลงอาญาใคร เป็นต้น). จักรพรรดิตอบว่าข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น ร้องลั่นให้ลั่นกลองใหญ่เพื่อกลบคำถามจากหัวดำๆเหล่านี้ที่รุมซักไซ้เอาคำตอบจากพระองค์. ไม่มีเสียงกลอง จักรพรรดิหันไปบอกนกกลว่า ร้องเพลงให้ข้าฟังหน่อยเถิด แต่นกก็นิ่งเงียบเพราะไม่มีใครไขลานมัน. ความตายยังจับจ้องอยู่ที่องค์จักรพรรดิ ห้องบรรทมเงียบจนน่ากลัว.
    บัดดลนั้น เสียงไพเราะเสนาะหูล่องลอยผ่านหน้าต่างมาถึงพระองค์ นกไนติงเกลมาเกาะบนกิ่งไม้นอกหน้าต่าง ร้องเพลงถวายจักรพรรดิ. มันรู้ข่าวว่าจักรพรรดิล้มป่วย จึงบินมาร้องเพลง เสริมกำลังใจและความหวังให้แก่จักรพรรดิ. เสียงเพลงของนกไนติงเกล ทำให้เงาดำๆที่อยู่ล้อมรอบเตียง ซีดลงๆ กระแสเลือดในองค์จักรพรรดิไหลเวียนดีขึ้น แขนขามีเรี่ยวแรงมากขึ้น. แม้ความตายเองก็ขอให้นกไนติงเกลร้องเพลงต่อไป นกต่อรองว่า ถ้าอย่างนั้น ก็ขอมงกุฎ ดาบอาญาสิทธิ์และธงประจำพระองค์คืน. ความตายยอมสละทุกอย่างที่นกขอ เพื่อให้ได้ฟังเพลงของนกไนติงเกล. นกร้องเพลงต่อไป เสียงเพลงนั้นพรรณนาถึงลานสวนในวัดอันเงียบสงบ ที่มีต้นกุหลาบขาวกำลังบานเต็มต้น มีกลิ่นระรวยของต้นเอลเดอร์ลอยมากับสายลม และหญ้าอ่อนๆชุ่มฉ่ำด้วยน้ำตาของผู้ร่ำไห้อาลัยคนที่จากไป. ความตายคล้อยตามไปกับภาพสวนที่นกร้องพรรณนา ลอยออกไปทางหน้าต่างเหมือนลมเย็นๆพัดไป เป็นหมอกสีขาวๆ.
     จักรพรรดิรู้สำนึกในบุญคุณของนกไนติงเกล พร่ำเสียใจว่าได้เคยขับไล่นกออกไปจากพระราชอาณาเขต แต่นกยังกลับมาเป่ามนตร์เสน่ห์ทำให้ใบหน้าของดวงวิญญาณร้ายๆทั้งหลายมลายหายไป และได้ขับไล่ความตายออกไปจากอกของพระองค์. จะตอบแทนนกไนติงเกลอย่างไรจึงจะคู่ควรกัน. นกตอบว่า “ข้าได้เห็นน้ำตาที่หลั่งไหลเมื่อข้าร้องเพลงถวายพระองค์ครั้งแรก ข้าไม่เคยลืม หยาดน้ำตาเหมือนเพชรพลอยที่ทำให้ผู้ร้องปลื้มเปรมใจ. ตอนนี้ขอให้พระองค์หลับให้สบายและมีพลังวังชาเหมือนเดิม ข้าจะร้องเพลงกล่อมถวาย”. นกไนติงเกลร้องเพลงต่อไป จักรพรรดิหลับไปอย่างสงบ และเมื่อพระองค์ตื่นขึ้นอีกครั้ง รู้สึกแข็งแรงเป็นปกติ แสงแดดสาดส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง. ไม่มีข้าราชบริพารคนใดเลย ทุกคนเชื่อว่า พระองค์สิ้นพระชนม์ไปแล้ว นกไนติงเกลเท่านั้นที่ยังคงเกาะใกล้ๆพระองค์และร้องเพลงถวาย.
     “ขอให้เจ้าอยู่กับข้าในวังนี้ตลอดไป เจ้าจะร้องเพลงเมื่อเจ้าอยากเท่านั้น และข้าจะทำลายนกกลตัวนั้นให้เป็นผุยผง”. “อย่าทำอย่างนั้น นกกลทำได้ดีที่สุดที่มันทำได้ เก็บมันไว้ที่นี่เถอะ ข้าไม่อาจอยู่ในวังได้ ไม่อาจสร้างรังของข้าได้ที่นี่ ขอให้ข้ามาเยือนพระองค์เมื่อข้าต้องการ ข้าจะมาเกาะที่กิ่งไม้นอกหน้าต่างในตอนเย็นและร้องเพลงถวาย เพื่อให้พระองค์สุขกายสบายใจ มีความคิดดีๆ. ข้าจะร้องเพลงเล่าถึงคนที่มีความสุขและคนที่มีความทุกข์ เล่าถึงความดีและความชั่วที่แอบแฝงกายอยู่รอบๆพระองค์”. “ข้ารักหัวใจพระองค์มากกว่ามงกุฎของพระองค์ แต่ก็มีอะไรขลังๆเรืองรองรอบมงกุฎ. ข้าจะมาและข้าจะร้องเพลงถวาย แต่ข้าขอสัญญาสักอย่างหนึ่ง” จักรพรรดิตอบทันที “ขอได้ทุกอย่างเลย” ยืนยันด้วยท่ามือจับดาบอาญาสิทธิ์ของพระองค์วางทับลงบนหน้าอกณตำแหน่งของหัวใจ. “ข้าขอเพียงอย่างเดียว. อย่าให้ใครรู้ว่าพระองค์มีนกตัวเล็กๆที่คอยบอกพระองค์ทุกอย่าง. ขอให้เก็บเป็นความลับไว้จะดีกว่า.  พูดจบ นกไนติงเกลก็บินจากไป บินกลับไปอยู่ในหมู่ชาวประมงและชาวนา.
    เหล่าข้าราชบริพารเข้ามาในห้องพระบรรทม เพื่อจัดการกับพระบรมศพ พบจักรพรรดิยืนตรงสง่า แต่งชุดเต็มยศ กล่าวทักทายทุกคน.
------------------------------
   แปลกใจว่า Andersen คิดยังไง จึงเล่าเจาะจงว่า จักรพรรดิมอบฉลองพระบาททองคำให้เป็นรางวัลแก่นกไนติงเกลที่ร้องเพลงได้ไพเราะจับใจจนน้ำพระเนตรไหลลง แถมยังบอกให้แขวนฉลองพระบาทรอบคอนกไว้. (ทำอย่างนั้น นกก็ตายแน่นอน สงสัยว่ามีธรรมเนียมแขวนรองเท้ารอบคออย่างนี้หรือ)
   น้ำตาแห่งความปลื้มปิติ ความอิ่มเอิบใจ มีค่าและมีอานุภาพมาก มันกระตุ้นให้กำลังใจและพลังจิตต่อไป. นกไนติงเกลรับรู้ความปิตินั้นด้วยความปลื้มเช่นกัน (กรณีของเด็กสาวใช้ก้นครัว กับจักรพรรดิ).
   ตอนที่ความตายมานั่งทับบนหน้าอกของจักรพรรดิ กรรมดีกรรมชั่วแวะเวียนเข้ามาจับจ้องที่องค์จักรพรรดิ รุกเร้าถามว่า จำได้ไหม เคยทำอะไรไว้. ตระหนักกันเถิดว่า ทุกเรื่องที่ผ่านมาในชีวิต จะย้อนมาสู่ภวังค์สุดท้ายก่อนสิ้นใจ. พึงสะสมกรรมดีต่อไปเถิด.  
   ที่น่าโล่งใจคือผู้ประพันธ์ Hans Christian Andersen ได้แนะให้คิดว่า เสียงเพลงเพราะๆนั้น อาจทำให้ “ความตาย” โอนอ่อนผ่อนปรนให้ ปล่อยชีวิตคนนั้นไว้ก่อน (จนถึงวาระหน้า).
    มีตัวอย่างในเทพปกรณัมกรีกเรื่องของ Orpheus ลูกชายของเทพ Apollo (เทพแห่งดนตรี) กับ Calliope (Muse Calliope เทพธิดาแห่งดนตรี ที่มีลักษณะคล้ายออร์แกน). พ่อให้พิณทองแก่ Orpheus และสอนให้เข้าเล่นพิณ  ส่วนแม่สอนให้เขาแต่งบทกลอนและร้องประกอบดนตรี. Orpheus เติบโต เก่งทางดนตรีและกาพย์กลอน แม้เทพ Apollo ผู้เป็นพ่อยังแปลกใจ. ดนตรีของ Orpheus มีอานุภาพไร้เทียมทาน สยบสรรพชีวิต ทั้งคน ทวยเทพเทวา สัตว์รวมทั้งหินและสรรพอาวุธทั้งหลาย แทนที่จะทำร้ายร่างกายของ Orpheus กลับตกลงแทบเท้าของเขา. เสียงพิณของ Orpheus ทำให้ฝูงนก ปลาและสัตว์ป่าอ่อนปวกเปียกเหมือนต้องมนตร์สะกด ทำให้ต้นไม้และมวลหินเริงระบำ รวมทั้งเบนกระแสน้ำในแม่น้ำได้.
    เรื่องราวที่รู้จักกันมากที่สุดคือเมื่อ Eurydice ภรรยาของเขาวิ่งหนีการติดตามของ satyr (ตัวเป็นมนุษย์ ขาเป็นแพะ. บางตำราว่าเป็นหนุ่มเลี้ยงแกะที่หลงใหลความงามของเธอ วิ่งไล่ตามเธอในป่า) ตกลงในดงงูพิษ ถูกงูกัดที่ส้นเท้าและสิ้นใจ. Orpheus เสียใจ ดีดพิณโหยหวนสุดสลด เสียงเพลงของ Orpheus ทำให้ทั้งทวยเทพ นางฟ้าและนางไม้ ต่างร้องไห้ด้วยความสงสาร. Orpheus ตัดสินใจเดินทางไปยังโลกใต้บาดาลไปตามหาภรรยา. ใช้ดนตรีกรุยทางผ่านด่านต่างๆลงไปพบและเผชิญหน้ากับ Hades กับ Persephone เทพบดีกับเทพเทวีแห่งโลกใต้บาดาล. Orpheus ใช้ดนตรีพร่ำรำพรรณจนเทพบดีทั้งคู่ใจอ่อน ยอมปล่อยให้ Eurydice กลับคืนไปสู่โลก โดยมีข้อแม้ว่า Orpheus ต้องเดินนำหน้า Eurydice ไปจนถึงปากถ้ำสู่แสงสว่างของโลกชั้นบนโดยไม่เหลียวหลังไปดู Eurydice เลย จนกว่าทั้งสองจะพ้นจากโลกใต้บาดาล. เมื่อ Orpheus ก้าวพ้นถ้ำมืด เหลียวกลับไปดูด้วยความใจร้อน Eurydice ยังมิได้ก้าวพ้นถ้ำมืดนั้น จึงอันตรธานหายวับไปชั่วนิรันดร ไม่อาจกลับคืนสู่โลกเบื้องบนได้อีกเลย. เมื่อการณ์เป็นเช่นนั้น Orpheus ร้องไห้โหยหวนอยากตายเพื่อจะได้กลับไปอยู่กับภรรยาในโลกของคนตายตลอดไป ถูกสัตว์ป่าเข้าฉีกร่างจนตาย. ในอีกเวอชั่นหนึ่ง Zeus เทพบดีบันดาลให้สายฟ้าฟาดลงบนตัว Orpheus จนตาย ด้วยเห็นว่าจะปล่อยให้ชีวิตรอดไม่ได้เพื่อว่าความลับเกี่ยวกับเส้นทางและโลกใต้บาดาล ตายไปกับ Orpheus. เหล่าเทพธิดา(Muses)มาเก็บศีรษะของร่าง Orpheus และรักษาไว้ในหมู่คนเพื่อดลบันดาลให้มีดนตรีไพเราะที่ตรึงใจคนในโลกตลอดไป.
นี่เป็นจิตรกรรมโมเสกที่เคยประดับพื้นในวิลลาโรมันจากเมือง Palermo ปัจจุบันโมเสกชิ้นนี้อยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Museo archeologico regionale di Palermo. Orpheus ในหมู่สัตว์ที่มาห้อมล้อม ต้องมนตร์ขลังของเสียงดนตรี. ภาพนี้ของ Giovanni Dall'Orto (Own work), 28 September 2006. [Attribution], via Wikimedia Commons.
    ในคัมภีร์เก่า เดวิด ลูกชายของ Jesse (บรรพบุรุษคนสำคัญของพระเยซู, บิดาของกษัตริย์โซโลมอน, เป็นผู้ตั้งเมืองเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของชนเผ่าจูดาห์ฯลฯ) เล่นพิณเก่งตั้งแต่เด็ก. ถูกส่งให้ไปรับใช้ Saul (ในคัมภีร์ฮีบรู Saul เป็นกษัตริย์คนแรกของอาณาจักรอิสราเอลและจูดาห์ อยู่ในราวศตววรษที่11ก่อนคริสตกาล) ไปเล่นพิณขับกล่อม Saul ที่ถูกวิญญาณร้ายเข้าสิงเป็นครั้งเป็นคราวจนคลุ้มคลั่ง.
ภาพ Saul กับเดวิด. ผลงานของจิตรกร Rembrandt เองหรือจากสตูดิโอของเขาในระหว่างปี 1650-1670. [Public domain], via Wikimedia Commons.
เดวิดได้รับใช้ใกล้ชิดเป็นที่โปรดปรานและในที่สุดกลายเป็นลูกเขยของ Saul และขึ้นเป็นกษัตริย์ต่อจาก Saul. ในคริสต์ศิลป์จนถึงยุคเรอแนสซ็องส์ พิณเป็นองค์ประกอบและสัญลักษณ์ถาวรประดับเดวิดเสมอทั้งในจิตรกรรมและประติมากรรม.
เดวิดถือพิณนั่งบนบัลลังก์ เท้าเหยียบอยู่บนหนังสิงโต(ที่เขาฆ่าได้ตั้งแต่ตอนยังเป็นเด็กเลี้ยงแกะให้บิดา). ประติมากรรมจำหลักนูนสูงบนกำแพงด้านทิศใต้ของมหาวิหาร Santiago de Compostela ประเทศสเปน (มหาวิหารสร้างระหว่างศตวรรษที่ 11-ต้นศตวรรษที่13)
ประติมากรรมเดวิดของไมเคิล แอนเจโล เป็นรูปปั้นเดวิดรูปแรกที่ไม่มีพิณประดับ (เนรมิตขึ้นระหว่างปี1501-1504) อยู่ที่ Galleria dell’Accademia เมือง Florence ถือกันว่าเป็นผลงานชิ้นเลิศยุคอิตาเลียนเรอแนสซ็องส์.ภาพถ่ายของ Jörg Bittner Unna, 28 July 2016. [CC BY 3.0 (http://creativecommons.org/licenses/by/3.0)], via
 Wikimedia Commons.
    ตัวอย่างเรื่องที่นำมาเล่า ยืนยันความสำคัญและอานุภาพของดนตรีต่อชีวิตคนมาตั้งแต่โบราณกาล. วรรณกรรมของทุกชาติก็คงมีเรื่องเล่าในทำนองเดียวกัน. นไทยก็ไม่ลืมอิทธิฤทธิ์ของปี่พระอภัยที่สุนทรภู่เจาะจงไว้ว่า
  พระฟังความพราหมณ์น้อยสนองถาม  จึงเล่าความจะแจ้งแถลงไข
อันดนตรีมีคุณทุกอย่างไป       ย่อมใช้ได้ดังจินดาคาบุรินทร์
ถึงมนุษย์ครุฑาเทวราช          จตุบาทกลางป่าพนาสินธุ์
แม้นปีเราเป่าไปให้ได้ยิน         ก็สุดสิ้นโทโสที่โกรธา
ให้ใจอ่อนนอนหลับลืมสติ       อันลัทธิดนตรีดีหนักหนา
ซึ่งสงสัยไม่สิ้นในวิญญาณ์       จงนิทราเถิดจะเป่าให้เจ้าฟัง
และแน่นอนทุกคนจำกลอนบทนี้ในเวนิสวาณิช
บทพระราชนิพนธ์แปล ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่า
   ชนชนใดไม่มีดนตรีกาล       ในสันดานเป็นคนชอบกลนัก
อีกใครฟังดนตรีไม่เห็นเพราะ    เขานั้นเหมาะคิดขบถอัปลักษณ์
ฤาอุบายมุ่งร้ายฉมังนัก          มโนหนักมืดมัวเหมือนราตรี
และดวงใจย่อมดำสกปรก       ราวนรกชนเช่นกล่าวมานี้
ไม่ควรใครไว้ใจในโลกนี้         เจ้าจงฟังดนตรีเถิดชื่นใจฯ  
-----------------------------
กลับมาที่เสียงนกไนติงเกล เชิญคลิกฟังตัวอย่างหนึ่งได้ที่นี่ (ยาว 4:01 min)
แล้วตามไปฟังดนตรี Nightingale Serenade ผู้ประพันธ์ดนตรีคือ Enrico Toselli (ชาวอิตาเลียน) ในคลิปนี้จาก André Rieu.

บันทึกความทรงจำของ โชติรส โกวิทวัฒนพงศ์
ณวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑.

No comments:

Post a Comment