Sunday 16 October 2016

ตัวอย่างการใช้สำนวนเมื่อผลัดแผ่นดิน La succession

ปีที่แล้ว (26 สิงหาคม 2015) ได้เขียนอธิบายสำนวนประกาศเมื่อมีการผลัดแผ่นดิน เปลี่ยนพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็น กฎมณเฑียรบาลของฝรั่งเศส และใช้ในทุกประเทศในยุโรป. ขนบนี้อังกฤษเป็นประเทศแรกที่ใช้ในศตวรรษที่ 12  ส่วนฝรั่งเศสใช้ครั้งแรกในศตวรรษที่ 15. วันนั้นโทรทัศน์ฝรั่งเศส (France 2) ได้ทำรายการรำลึกถึงพระเจ้าหลุยส์ที่ 14. ข้าพเจ้าได้ติดตามฟัง และในที่สุดนำมาเล่าต่อ เขียนเป็นข้อมูลเล็กๆน้อยๆให้เพื่อนได้อ่านกัน. วันนี้เนื่องจากมีการถามที่มาที่ไปของการประกาศผลัดแผ่นดินสู่การเสด็จขึ้นเสวยราชย์ จึงไปขุดหาที่เขียนไว้ มานำลงบล็อกเป็นตัวอย่าง.
    พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 จิตรกรรมผลงานของ Hyacinthe Rigaud, 1701. (ภาพจากกูเกิล)
แผนผังพื้นที่พระราชวังส่วนเก่าที่สุดที่เป็นจุดกลางของพื้นที่
ภายหลังมีการสร้างต่อเติมเป็นปีกยาวใหญ่ออกไปสองข้าง ตามแนวทิศเหนือและทิศใต้ 
ดอกจันบอกที่ตั้งของห้องพระบรรทม (ภาพจากกูเกิล)
       ทำไมนำมาเล่าในวันนั้นเพราะวันที่ 26 สิงหาคม 2015 เป็นวันครบรอบสามศตวรรษแห่งการสวรรคตของกษัตริย์ฝรั่งเศสพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 (1638-1715) เมื่อพระชนมายุ 77 ชันษา. ทรงครองราชย์นานที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคนั้นคือนานถึง 72 ปี. พระวรกายทรุดโทรมสุดประมาณด้วยมะเร็งชนิดหนึ่ง (gangrene necrosis). ครึ่งร่างซีกซ้ายตั้งแต่ปลายเท้าถึงกระหม่อมตายด้าน ฟันหลุดร่วงหมด ร่างส่งกลิ่นเหม็นคลุ้ง. (แปลตรงตามคำบรรยายในภาษาฝรั่งเศสเอง). พระมเหสี Mme de Maintenon [มาดาม เดอ แม็งเตอนง] อยู่เฝ้าข้างพระองค์ และกลับคืนสู่กรุงปารีสสามวันก่อนพระเจ้าหลุยส์สิ้นพระชนม์ตามพระราชประสงค์ของพระเจ้าหลุยส์ และตามกฎมณเฑียรบาลว่า กษัตริย์ต้องสิ้นพระชนม์ตามลำพัง. พระเจ้าหลุยส์ออกจากวัง (le château de Marly) กลับคืนสู่พระราชวังแวร์ซายส์ ตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคม ตามกฎมณเฑียรบาลเช่นกันที่ว่า พระมหากษัตริย์ต้องสิ้นพระชนม์ในห้องพระบรรทมของพระองค์ - la chambre du roi.  วันที่ 24 สิงหาคม ทรงรับศีลมหาสนิทครั้งสุดท้าย (l’extrême onction).
ห้องพระบรรทม (la chambre du roi) ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ในพระราชวังแวร์ซายส์ ที่ตั้งพระแท่นบรรทม เป็นจุดศูนย์กลางที่พุ่งออกเป็นแนวเส้นตรง ทอดสู่ด้านทิศตะวันตกที่เป็นด้านพระราชอุทยาน เป็นแนวตรงไปยังสระน้ำพุใหญ่ๆเช่น Le bassin de Latone ต่อไปยัง Le Bassin d’Apollon และต่อเป็นแนวตรงไปตามสระน้ำยาวสุดสายตาถึงสุดอาณาเขตของพระราชวัง. แผนผังทั้งพระราชวังและพระราชอุทยานมีห้องพระบรรทมนี้เป็นจุดศูนย์กลาง ทุกอย่างแผ่ออกจากจุดนี้ กระจายออกเหมือนรังสีแสงอาทิตย์ เพราะพระเจ้าหลุยส์ทรงเลือกดวงอาทิตย์เป็นสัญลักษณ์ของพระองค์.
ภาพของ Jean-Marie Hullot — http://www.fotopedia.com/items/jmhullot-z2Umsz0Z8aY, CC BY 3.0. (ภาพจากวิกิคอมมอน).
 วันที่ 25 สิงหาคม ตามปฏิทินนักบุญ เป็นวันที่ศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกกำหนดให้เป็นวันของกษัตริย์นักบุญ Saint-Louis [แซ็งลุย] ที่ IX ของฝรั่งเศส. มีการนำวงดนตรีมาแสดงเฉลิมฉลองพระเกียรติใต้พระบัญชรห้องพระบรรทม (une aubade).  การจัดดนตรีถวายพระเกียรตินี้ เลือกอย่างเฉพาะเจาะจงให้เป็นวันกษัตริย์นักบุญพระเจ้าหลุยส์ที่ 9 เพื่อย้ำการสืบเชื้อสายตรง พระเจ้าหลุยส์ที่ 9 เป็นกษัตริย์ที่ชาวยุโรปรู้จักและยกย่องอย่างสูงในประวัติศาสตร์ เป็นผู้นำกองทหารชาวคริสต์ไปทำสงครามครูเสดด้วย.

    ห้องพระบรรทมของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 อยู่ชั้นหนึ่งตรงกลางของอาคารพระราชวัง จากห้องพระบรรทมนี้ มองออกไปในทิศตะวันออก ปัจจุบันจะเห็นพระบรมรูปทรงม้าของพระเจ้าหลุยส์ที่14 (สร้างแล้วเสร็จในราวปี 1838 เท่านั้นตามพระราชดำริของพระเจ้ากลุยส์ที่ 18) ตั้งอยู่บนเส้นแนวทิศตะวันออก - ทิศตะวันตก เป็นแกนกลางหลักสำคัญที่สุดของพื้นที่. แกนกลางหลักของพระราชวังและพระราชอุทยานแวร์ซายส์ ทิศตะวันออกนั้นจากกลางห้องพระบรรทม ต่อไปยังพระบรมรูปทรงม้าของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ดังกล่าว ผ่านตรงกลางประตูทางเข้าพื้นที่พระราชวังและทอดเป็นเส้นตรงออกไปในภูมิประเทศ ซึ่งคือตรงไปในทิศทางของกรุงปารีส.  ส่วนทางทิศตะวันตก จากตรงแท่นพระบรรทมทอดตรงไปยังจุดใจกลางที่ตั้งของสระน้ำขนาดใหญ่ คือสระน้ำพุ le bassin de Latone [เลอ บัสแซ็ง เดอ ลาโตน] และที่สำคัญที่สุดตรงจุดใจกลางที่เป็นรูปปั้นเทพอพอลโล (le bassin d’Apollon [เลอ บัสแซ็ง ดะโปลง]) พุ่งตรงต่อไปในภูมิประเทศ โดยไม่มีอะไรขวางสายตาหรือขวางเส้นทางนี้เลยไปจนสิ้นสุดอาณาเขต. ผังทั้งหมดคือผลงานสุดยอดของสถาปัตยกรรมฝรั่งเศสของ Le Nôtre [เลอ โน้ตรฺ]. จากเส้นแกนหลักนี้มีเส้นทางเดินภายในที่แผ่ออกเหมือนรังสีดวงอาทิตย์ ทั้งหมดนี้มีจุดใจกลางตรงห้องพระบรรทมของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทุกอย่างเป็นไปตามพระราชประสงค์ของพระจ้าหลุยส์ผู้สถาปนาพระองค์เป็น Le Roi Soleil หรือสุริยะเจ้า.
ดูความยาวเหยียดของแนวแกนกลางของผังพระราชวังแวร์ซายส์
และปริมาณน้ำที่นำมาประดับพระราชอุทยานที่นั่น
(ภาพจากกูเกิล)
จากที่ตั้งแท่นพระบรรทมของพระเจ้าหลุยส์ที่14 มองตรงออกทางหน้าต่างประตู เห็นสระน้ำ Le bassin de Latone (1) และไกลออกไปในสระน้ำใหญ่ คือ Le bassin d’Apollon (2) แล้วต่อไปบนแนวตรงไปสุดสายตาสุดอาณาเขตพระราชวัง (ภาพจากกูเกิล)
ที่ตั้งห้องพระบรรมทม(ตรงดอกจัน)เมื่อมองออกไปในทิศตะวันออก เป็นแนวตรงผ่านรั้วประตู
ออกไปสู่เมืองแวร์ซายส์และต่อไปยังกรุงปารีส. (ภาพจากกูเกิล)
ผังการบริหารจัดการพื้นที่สองข้างแนวแกนกลาง (ภาพจากกูเกิล)

วันที่ 26 สิงหาคม 1715 ทรงให้พาพระเจ้าเหลนเธอ (อายุห้าขวบกว่า) ผู้จะเป็นพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 เข้าเฝ้า (เท่ากับการประกาศการสิ้นสุดของการปกครองอย่างเป็นทางการของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แม้พระองค์จะยังไม่สิ้นชีวิตในวันนั้น) หลังจากนั้นมีหัวหน้ามหาดเล็กคนเดียวที่อยู่ในห้องพระบรรทม. ชาวประชาทั้งฝรั่งเศสและยุโรปต่างคอยข่าวการสิ้นพระชนม์ ซึ่งตรงกับเวลา แปดนาฬิกาสิบห้านาที วันที่ 1 กันยายน 1715.  มหาดเล็กกรมวัง (chamberlain) สวมหมวก มีขนนกประดับหมวกสีดำ ออกไปบนระเบียงของห้องพระบรรทมประกาศว่า Le roi est mort! (พระเจ้าอยู่หัวสิ้นพระชนม์แล้ว) เขากลับเข้าข้างใน เปลี่ยนหมวก เปลี่ยนขนนกเป็นสีขาว แล้วกลับออกไปบนระเบียงทันที ประกาศต่อประโยคที่สองว่า Vive le roi! (ขอให้พระเจ้าอยู่หัวจงเจริญ). 
 พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ผลงานของ Hyacinthe Rigaud (1659-1743).
ภาพนี้อยู่ที่พระราชวังแวร์ซายส์. (ภาพจากกูเกิล)
คำประกาศสองประโยคนี้ ฟังดูขัดกัน แต่เป็นพิธีการประกาศทางการ (protocol) ของราชสำนักฝรั่งเศส ในความหมายว่า กษัตริย์ผู้หนึ่งสิ้นพระชนม์ อีกผู้หนึ่งจะขึ้นแทนทันที บัลลังก์ไม่มีวันว่างลง. เป็นการกระชับความมั่นใจแก่ทวยราษฎร์ และสำคัญกว่านั้นคือ ป้องกันการชิงอำนาจหรือการชิงบัลลังก์. การพูดสองประโยคนี้ยังทำกันอยู่ในราชสำนักของยุโรป ในอังกฤษก็เช่นกัน ยุคนั้นภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาในราชสำนักในยุโรปทุกแห่ง จึงใช้เป็นภาษาฝรั่งเศสกันต่อมา. ฝรั่งเศสใช้ครั้งแรกในศตวรรษที่ 15 สมัยพระเจ้า Charles VII.
       ส่วนราชสำนักอังกฤษ ใช้สองประโยคนี้ก่อนฝรั่งเศส คือในปี 1272  เมื่อพระเจ้าเฮนรีที่สามสิ้นพระชนม์ พระราชโอรส (Edward I) มิได้อยู่ที่อังกฤษ กำลังไปทำศึกสงครามครูเสด. เพื่อป้องกันเหตุกบฎชิงราชย์ใดๆ สภากรมวังยึดหลักการมั่นคงว่า The throne shall never be empty; the country shall never be without a monarch. บัลลังก์ไม่มีวันว่าง เพราะฉะนั้นพระเจ้าเอ็ดเหวิดได้รับการสถาปนาเป็นกษัตริย์ต่อทันที แม้ว่าพระองค์มิได้อยู่ในพระราชอาณาจักรก็ตาม.  เพราะกว่าข่าวไปถึงสนามรบ กว่าจะกลับมาถึงอังกฤษ ก็อีกนาน. มีพระราชพิธีราชาภิเษก (coronation) เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 1274.  
        สำนวนที่ใช้กันมา Le Roi est mort. Vive le Roi! ใช้กันในทุกราชสำนักในยุโรป ซึ่งในสมัยต่อมาแปลเป็นภาษาของแต่ละประเทศเช่นภาษาสเปนหรือภาษาอื่นๆ. สำนวนนี้จึงสื่อการเปลี่ยนผ่านในการครองราชย์อย่างทันทีทันการไร้ช่องห่างของเวลาอย่างสิ้นเชิง. ในอังกฤษ ก็ใช้ภาษาอังกฤษแทนในเวลาต่อมาว่า The king is dead. Long live the King!

      หลังจากที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 สิ้นพระชนม์ อีกสองวันต่อมา มีการเคลื่อนหีบพระบรมศพของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ไปยังห้อง Salon de Mercure [ซาลง เดอ แมรฺกูรฺ]  ข้าราชสำนักหรือบุคคลชั้นสูงผู้ใดก็เข้าไปภายในพระราชวังแวร์ซายส์ได้ โดยมีข้อแม้ว่า ก่อนผ่านเข้าไปในวัง ต้องมีชุดที่เหมาะสม ผู้หญิงแต่งดำ ส่วนผู้ชายต้องสวมหมวกและมีดาบติดตัว.  ทั้งสองสิ่งนี้เป็นสองสัญลักษณ์ของการเป็น ผู้มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีความซื่อตรงจงรักภักดี ในแบบของอัศวินยุคกลาง จึงเข้าไปแสดงคารวะต่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ใน Salon de Mercure ดังกล่าวได้.  พระบรมศพอยู่ที่นั่น 8 วัน.
พระบรมศพของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ในท่านอนบนพระแท่นบรรทมใน Salon de Mercure. (ภาพจากกูเกิล) 
Salon de Mercure ห้องเมอคิวรี เรียกตามจิตรกรรมที่ประดับบนเพดานห้องนี้.
Mercury เทพผู้นำข่าวสาร สื่อนัยของผู้ประกาศเกียรติภูมิของพระมหากษัตริย์ให้กึกก้องไกลไปทุกทิศ. 
จิตรกรรมเกี่ยวกับเทพ Mercury บนเพดานห้องนี้. (ภาพจากกูเกิล)

หลังจากนั้น หีบพระบรมศพ ถูกเคลื่อนย้ายไปยังมหาวิหารแซ็งเดอนีส์ (la Basilique de Saint-Denis ที่ประดิษฐานพระบรมศพพระศพและศพ ของพระราชวงศ์ ขุนนางชั้นสูงและเจ้าอาวาสคนสำคัญๆของแผ่นดิน) และตั้งอยู่หน้ามหาวิหารต่อไปอีก 43 วัน เพื่อให้ชาวเมืองได้ไปถวายความเคารพเป็นครั้งสุดท้าย.  การเคลื่อนพระบรมศพดังกล่าวจากพระราชวังแวร์ซายส์ไปยังมหาวิหารแซ็งเดอนีส์  มิใช่ง่ายเลยในสมัยนั้น. เล่าว่ามีข้าราชบริพารผู้ติดตามไปในขบวนทั้งหมด 1000 คน. สุสานของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ถูกคณะปฏิวัติ (1789) ทำลายไม่เหลือให้เห็นเลย

ภาพขบวนเคลื่อนพระบรมศพของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ไปยังมหาวิหาร 
La Basilique de Saint-Denis ทางเหนือของกรุงปารีส. (ภาพจากกูเกิล)

มหาวิหาร la Basilique de Saint-Denis. (ภาพจากกูเกิล)
 ชมภาพตัวอย่างอนุสาวรีย์ศิลปะประดับสุสานภายในมหาวิหาร. (ภาพจากกูเกิล)
 
ดูผังที่ตั้งของหลุมศพหรืออนุสาวรีย์ของกษัตริย์และเชื้อพระวงศ์ตลอดจนบุคคลสำคัญๆ ได้ที่เพ็จนี้ 
http://www.tourisme93.com/basilique/plan-tombeaux-basilique.html  
ที่เล่ามานี้เพิ่มเติมจากเนื้อหาข่าวหัวข้อหนึ่งในรายการ Télématin ของสถานีโทรทัศน์ France 2 ประจำวันที่ 26 สิงหาคม 2015.

โชติรส โกวิทวัฒนพงศ์ รายงาน (อีกครั้ง) วันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๙.

2 comments:

  1. ได้ความรู้ที่ทำให้เข้าใจช่วงเปลี่ยนผ่านพระมหากษัตริย์จองฝรั่งดีมากๆค่ะโช ขอบคุณมากค่ะ

    ReplyDelete
  2. การเปลี่ยนผ่านแผ่นดิน สำนวนที่ใช้ในเรื่องนี้ ควรจะเป็น << การผลัดแผ่นดิน >> แทน
    ขออภัยที่ตามเข้าไปแก้ ยากลำบากมาก เพราะไม่ได้เป็นนายของระบบ บางทีที่เขาตั้งไว้มันไม่เหมาะกับเรา
    จึงไม่ได้ตามเข้าไปแก้ชื่อเรื่อง เพราะแก้แล้วก็กลับเหมือนเดิม
    ขอให้เข้าใจก็แล้วกัน และใช้ให้ถูกกว่าผู้เขียนนะคะ

    ReplyDelete