ในปี 1870 Baron Reinsberg-Düringsfeid ได้รวบรวมทำปฏิทินดอกไม้ขึ้นมาอย่างละเอียดหลังจากได้ศึกษาค้นคว้าอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน. เขาโยงความอุดมสมบูรณ์ของดอกไม้พืชพรรณบนพื้นโลกของเรา
กับวันเดือนปีในชีวิตของคน. ธรรมเนียมหรือค่านิยมแบบนี้ สืบสาวย้อนหลังไปได้ถึงยุคจักรวรรดิโรมัน. ในยุคคริสตกาล
ชาวคริสต์เคยเลือกสรรดอกไม้เพื่อใช้บูชานักบุญประจำวันตลอดทั้งปี. จากยุคนั้นมา
เรื่องดอกไม้ในฐานะสิ่งบูชาพระเจ้าหรือนักบุญ ดูจะหมดคนสนใจ. ไม่พบข้อมูลเกี่ยวกับดอกไม้ประจำวันทุกวันในหนึ่งปี
แต่ยังมีการเก็บรักษารายชื่อนักบุญประจำแต่ละวันตลอดทั้งปีอยู่. บ้านเมืองและชนชาติทั้งหลาย ต่างวิวัฒน์พัฒนาตามการเปลี่ยนแปลงทั้งทางการเมืองการปกครอง
เศรษฐกิจและสังคม.
ดอกไม้เบนมาเป็นพืชเศรษฐกิจมากขึ้นๆ
นอกจากสรรพคุณด้านการเยียวยารักษาแล้ว ปัจจุบันดอกไม้เป็นสิ่งประดับอาคารบ้านเรือนเพื่อสร้างบรรยากาศให้น่าอภิรมย์ เป็นสิ่งกระตุ้นจินตนาการ
และผลักดันคนให้ปลูกต้นไม้มากขึ้นๆ
ให้การปลูกต้นไม้เป็นวิธีการอนุรักษ์ธรรมชาติไปด้วย. แต่ประเด็นที่นำหน้าในโลกเศรษฐกิจยุคปัจจุบัน คนตีราคาดอกไม้ตามคุณสมบัติของการเป็นสารปรุงแต่งกลิ่นมากน้อยในอุตสาหกรรมน้ำหอมที่เป็นอุตสาหกรรมทำเงินอันดับต้นๆในวงการธุรกิจการค้าปัจจุบัน.
ราชสมาคมพืชสวน (The Royal Horticultural Society) แห่งประเทศอังกฤษทำสถิติไว้ว่า
หนึ่งในร้อยของพืชพรรณทั้งหลายที่ปลูกในสวนอังกฤษปัจจุบัน
เป็นพันธุ์ไม้พื้นเมือง
นอกนั้นเป็นพันธุ์ที่นำเข้าไปในอังกฤษ. ดังนั้น 99
เปอเซ็นต์ของจำนวนพืชพรรณที่ปลูกในสวนอังกฤษปัจจุบัน
เป็นผลงานของนักสำรวจและพรานพืชพรรณทั้งหมด.
ความจริงนี้ทำให้เราเข้าใจอย่างสิ้นสงสัยว่า พืชพรรณต่างๆได้เปลี่ยนสีสันและโฉมหน้าของสวนตะวันตก
ของวัฒนธรรมและวิถีการครองชีวิตอย่างไร และนำความมั่งคั่งมาสู่ประเทศเพียงใด. ธุรกิจพืชพรรณเป็นหนึ่งในธุรกิจที่สำคัญที่สุดของประเทศอังกฤษ. ส่วนสวนพฤกษชาติทั้งหลายในอังกฤษ สวน Kew และโดยเฉพาะราชสมาคมพืชสวนของอังกฤษยังคงเป็นศูนย์กลางเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพืชพรรณและในที่สุดปลูกฝังความรักพืชพรรณในหมู่ชาวอังกฤษเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้
รวมทั้งเป็นสถาบันตัวอย่างสำหรับประเทศอื่นๆอีกด้วย.
ประวัติการพัฒนาพฤกษศาสตร์ในยุโรปและการเดินทางของพืชพรรณจากแดนไกลสู่ยุโรป. พืชพรรณกลายเป็นหลักฐาน
เป็นเอกสารประวัติศาสตร์ที่สัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับวิวัฒนาการด้านการเมือง
เศรษฐกิจ สังคมและเทคโนโลยีของประเทศในยุโรปโดยเฉพาะของอังกฤษ
เพราะเป็นกุญแจของอำนาจและความมั่งคั่งของประเทศอังกฤษตั้งแต่ศตวรรษที่สิบแปดเป็นต้นมา ทั้งยังเป็นพยานแห่งความรักความสนใจพืชพรรณของชาวอังกฤษที่มิได้ลดน้อยลงไปเลยตลอดห้าหกร้อยปีที่ผ่านมา
จนทำให้อังกฤษเป็นผู้นำสำคัญที่สุดในด้านพฤกษศาสตร์และธรรมชาติวิทยา
อีกทั้งเป็นผู้นำการรณรงค์เพื่ออนุรักษ์ธรรมชาติที่ไม่มีประเทศใดเทียบเคียงได้.
ความรู้ที่สั่งสมมาตั้งแต่ยุคโบราณ สร้างพื้นฐานอันมั่นคงให้พฤกษศาสตร์
เดี๋ยวนี้ทุกชาติตระหนักแล้วว่าความรู้เกี่ยวกับพืชพรรณเป็นกุญแจสำคัญที่สุดของความอยู่รอดของมนุษยชาติ
พฤกษศาสตร์ต้องเป็นแกนนำการพัฒนาสังคม
การเมืองและเศรษฐกิจ วิทยาการทุกแขนงและเทคโนโลยีทุกรูปแบบจำต้องพัฒนาจากมุมมองของนิเวศวิทยา
ของพืชพรรณ สัตว์และคนร่วมกัน.
ภาพพืชพรรณเป็นเหมือนฉากหลังของทุกชีวิตในอังกฤษ เป็นแบบประดับของเกือบทุกอย่างในบ้าน ตั้งแต่กระดาษปิดฝาผนัง
ลายบนกระจกหน้าต่างหรือประตู ม่าน ผ้าคลุมหรือผ้าปูเตียง ผ้าบุเก้าอี้หรือเครื่องเรือน
พรมและสิ่งทอประดับผนัง แบบเตียง เครื่องเรือนไปจนถึงลายประดับถ้วยโถโอชาม
และในที่สุดลวดลายและสีสันของเสื้อผ้า. มิใช่เรื่องบังเอิญที่ William
Morris (1834-1896 ชาวลอนดอน. หนึ่งในผู้นำกระแส The Craft and Art movement, 1880-1910) ใช้ภาพเฟิร์น ดอกไม้ กิ่งไม้ และสัตว์ เป็นแบบของงานสร้างสรรค์ทุกอย่างของเขา หรือการที่เขารณรงค์เพื่อยกระดับนายช่างฝีมือว่าเทียบเท่าช่างศิลป์อื่นๆ
หรือการที่เขากระตุ้นให้ชาวอังกฤษเห็นความน่าเกลียดของสังคมที่เอาเปรียบคนงาน
ที่ฉกฉวยความงามที่ชีวิตมีให้ทุกคนจากพวกเขา. Morris มิได้เป็นเพียงศิลปิน
แต่เป็นนักเขียนด้วยและในที่สุดเป็นผู้นำกระแสสังคมนิยมในอังกฤษ
ประท้วงสังคมอุตสาหกรรมที่ผิดธรรมชาติ ที่อยุติธรรมต่อชนชั้นคนงาน.
มิใช่เรื่องบังเอิญเช่นกันที่ Charles Rennie Mackintosh (1868-1928 ชาวสก็อต) สร้างสรรค์สถาปัตยกรรมที่ใช้แบบประดับจากธรรมชาติ
เลียนแนวเส้นโค้งอันอ่อนช้อยของไม้ดอกและความงามของทัศนียภาพอันสวยงามน่าทึ่งของสก็อตแลนด์ที่เขาเคยวาดเคยสเก็ตช์มานับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่วัยเด็ก. เขาเป็นผู้นำคนสำคัญของกระบวนการสร้างสรรค์ศิลปะแนวใหม่หรือ “อารนูโว”(Art Nouveau) ในสก็อตแลนด์ ที่ยังผลให้มีการสถาปนากระแส Sezessionstill
(หรือ The Secession) ขึ้นในออสเตรียในราวปี1900.
Glasgow School of Art เป็นหนึ่งในผลงานสถาปัตยกรรมของ
Mackintosh.
มิใช่เรื่องบังเอิญอีกเช่นกันที่ Arthur Lasenby Liberty (1843-1917) เปิดร้านขายเครื่องตกแต่งบ้าน พรม
ผ้าและศิลปวัตถุจากญี่ปุ่นและจากตะวันออก
และในที่สุดผลิตผ้าพิมพ์แบบตะวันออกสำหรับใช้ตัดเสื้อผ้าและสำหรับใช้บุเครื่องเรือนหรือตกแต่งบ้าน. ต่อมาสั่งเข้าผ้าทอสำเร็จจากชวา
อินเดีย อินโดจีนและเปอเชียมาพิมพ์ลายในอังกฤษ เรียก “Liberty
Art Fabrics”
และสร้างสรรค์แฟชั่นผ้าฝ้ายพิมพ์ดอกไม้ใบไม้ตามกระแสของศิลปะแนวใหม่ เริ่มด้วยผ้าฝ้าย ต่อมามีผ้าไหม ผ้ากำมะหยี่
ผ้าวูลและผ้าใยสังเคราะห์. ในศตวรรษที่19 แบบเสื้อผ้าในสไตลของลิเบอตี้ต้องการสื่อความรักความฝัน
การใช้ชีวิตในธรรมชาติ วิญญาณอิสระ
ชีวิตที่พ้นกรอบรัดหรือหลุดออกจากความฉาบฉวยของสังคมในเมืองใหญ่
แบบเสื้อและผ้าของลิเบอตี้ไม่ใช่แบบที่ชาวเมืองใส่ไปงานสังคมชั้นสูง เป็นแบบเรียบง่าย เสื้อเชิ้ตหรือเสื้อฮาวาย
กระโปรงรูดรอบตัวเป็นต้น. (ผ้าลิเบอตี้ในยุคปัจจุบันยังคงเป็นลวดลายดอกไม้
แต่ก็มีลายและแบบทันสมัยตามกระแสนิยมยุคใหม่และสีสันแห่งยุค) แนวการสร้างสรรค์ของลิเบอตี้เคยสื่อค่านิยมของชาวอังกฤษ
ที่สะท้อนรับกับความฝันอยากมีบ้านและสวนของตนเองนอกเมือง. สวรรค์ของชาวอังกฤษ จึงไม่ใช่สถานที่หรูหรา
ไม่ใช่วิมานที่มีปราสาทหอคอยหลังคาทอแสงเป็นประกายระยิบระยับ
หรือการได้เสพอาหารทิพย์
เป็นเจ้าของเครื่องทองและเพชรนิลจินดาฯลฯ
ดั่งค่านิยมเกี่ยวกับสวรรค์และชีวิตหลังความตายของคนไทยส่วนใหญ่ แต่ เป็นสนามหญ้าเขียวชอุ่มผืนใหญ่
มีดอกไม้ประดับสองข้างทางเดิน มีโต๊ะน้ำชาพร้อมที่นั่งอันสบายสำหรับนั่งๆนอนๆพักผ่อนในความอบอุ่นของแสงแดด
ชาวอังกฤษโดยเฉพาะยังคงนิยมภาพดอกไม้ในแต่ละเดือน
ที่พวกเขานำไปประดับถ้วยโถโอชามที่ใช้ มีชื่อเดือนประกอบอยู่ด้วยเป็นส่วนใหญ่ (ปัจจุบัน มักไม่มีชื่อเดือนกำกับแล้ว มีแต่ภาพดอกไม้และทุ่งดอกไม้). ปลายศตวรรษที่ 19 เมื่อเกิดกระแสศิลปะแนวใหม่ในยุโรป
ที่เรียกว่า Art
Nouveau [อารฺ นูโว] ที่ได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติ
มีศิลปินเนรมิตปฏิทินดอกไม้สวยงามแบบต่างๆไว้มากที่ยังพอหาดูได้ในปัจจุบัน. เช่นผลงานของ Eugène Grasset (1845-1917 ชาวฝรั่งเศสดั้งเดิมเป็นชาวสวิสฯ
เป็นจิตรกรและนักวาดเขียน หนึ่งในผู้ริเริ่มกระแสศิลปะแนวใหม่. ในผลงานของเขา
มักเห็นภาพผู้หญิงสวยงามที่มองดูเหมือนวีรสตรีในนวนิยาย บ้างบอบบางน่าถนอม
บ้างเข้มแข็งองอาจ แต่ละนางอยู่กับดอกไม้ชนิดใดชนิดหนึ่ง ในภูมิทัศน์แบบหนึ่ง. เขาเป็นผู้ริเริ่มทำโปสเตอร์ด้วยศิลปะแนวใหม่นี้
เป็นที่ติดอกติดใจกันไปทั่วยุโรป.
Eugène Samuel
Grasset,
poster for an exhibition of French decorative art
ภาพจากวิกิพีเดีย
กำกับไว้ว่า Public domain.
ในอังกฤษหนังสือรวมภาพดอกไม้ทั้งหลายที่ดูสมจริงแล้ว
ยังผนวกตำนานหรือนิทานเกี่ยวกับดอกไม้แต่ละชนิดเข้าไปด้วย
รวมกันเป็นวรรณกรรมดอกไม้ เป็นหนังสือที่ผู้ใหญ่อ่านได้ เด็กก็อ่านสนุก. หนังสือดอกไม้อย่างนี้นิยมกันมาก และมีซิลปินต่อยอดไปถึงเรื่องเทพธิดาประจำดอกไม้แต่ละดอกด้วย
เรียกว่า Flower fairies. ยังมีการผลิตนางฟ้า(พร้อมปีกงามสองปีก) ประจำดอกไม้เป็นหุ่นเล็กๆข้างดอกไม้แต่ละชนิด
กลายเป็นของประดับสวนแบบหนึ่ง
นำไปประดับข้างต้นไม้ดอกนั้นๆ หรือไปปักท่ามกลางกอดอกไม้เป็นต้น อาจเป็นวิธีเร้าความอ่อนโยนและความสนใจในดอกไม้
ตามค่านิยมอังกฤษแบบหนึ่ง. ภาพนางฟ้าข้างดอกไม้แต่ะชนิด
ที่เห็นได้จำนวนมากในอินเตอเน็ต
ล้วนสวยงามเป็นข้อมูลให้ความรู้ที่ดีมากสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ เช่นผลงานของ Cicely Mary Barker (1895-1973 ชาวอังกฤษ
เชิญเข้าไปชื่นชมได้ที่
มีการจัดดอกไม้ตามลำดับตัวอักษรภาษาอังกฤษ ดังตัวอย่างภาพข้างล่างนี้
นอกจากนี้ชาวอังกฤษยังผลิตหนังสือรูปดอกไม้แต่ละเดือน
เป็นภาพโครงลายเส้น รูปร่างลักษณะของดอกไม้ พิมพ์เป็นขาวดำ ขายให้เด็กๆไปเติมสีดอกไม้กันเอง
เท่ากับกระตุ้นให้คิดถึงรูปลักษณ์และสีสัน ทำความรู้จักกับดอกไม้ชนิดต่างๆไปด้วย. นี่ก็เป็นวิธีการสอนเรื่องดอกไม้ เรื่องธรรมชาติ และความรักธรรมชาติ เป็นวิธีที่ดูเหมือนได้ผลที่สุดในหมู่ชาวอังกฤษ.
ในที่นี้
ได้รวมดอกไม้ที่ถือกันว่าเป็น << ดอกไม้มงคล >> สื่อนัยดีๆทั้งหลายตามค่านิยมในโลกตะวันตก. แต่ละชนิดแต่ละพันธุ์เป็นภาษาดอกไม้ เคยเป็นและยังคงเป็นสัญลักษณ์สื่อสารความหวังในใจคนได้อยู่ แม้ในปัจจุบัน. ดอกไม้เหล่านี้ เหมือนตัวแทนของความหวังหรือความฝันของคนที่ไม่เคยเปลี่ยน คือความปรารถนาความสุข
ความสำเร็จ ความรัก ความอ่อนโยน มิตรภาพ โชคลาภ ศรัทธา มุทิตาจิต พลังจิต
พลังสร้างสรรค์ ความกล้าหาญ เป็นต้น.
ความหมายของดอกไม้ที่กำกับไว้เป็นภาษาอังกฤษ (ไม่มีพื้นที่พอสำหรับเขียนเป็นภาษาไทย)
เป็นเพียงบางส่วนของความหมายทั้งหมดที่ดอกไม้นั้นๆดลใจคนเรื่อยมา
แต่ละคนอาจมีนัยส่วนตัวบวกเข้าไปในดอกไม้ตามโอกาสและวาระที่คนนั้นต้องการใช้เพื่อสื่อสารกับคนหนึ่งคนใดอย่างเฉพาะเจาะจง.
ภาษาดอกไม้เป็นภาษาสละสลวย
เป็นภาษาเงียบละมุนละไมจากใจถึงใจ
เป็นภาษาที่ไม่มีพรมแดน
ดอกไม้เป็นครูจากธรรมชาติ สอนให้รู้จักความสวย ความสุนทรีย์
ความเปราะบางของชีวิต
ดอกไม้กระตุ้นให้สั่งสมคุณงามความดี ให้เหมือนกลิ่นหอมดอกไม้
ที่ติดตรึงใจไปนานไม่รู้เลือน
ขอให้ดอกไม้เหล่านี้ดลใจและนำความสุขใจแก่ท่านทุกวันตลอดปีและตลอดไป
โชติรส
โกวิทวัฒนพงศ์ รายงาน ณ วันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๙.
ขอบคุณพี่โชติรสมากค่ะที่รวบรวมเรื่องและบอกแหล่ง (link) ให้อ่านเพิ่มเติม
ReplyDeleteชอบเรื่องความหมายของ "ดอกไม้มงคล"ค่ะ
มีต้นไม้ ดอกไม้ห้อมล้อมก็เป็นโชคและเป็นมงคลของมนุษย์