หนึ่งในอารยธรรมที่ขึ้นชื่อลือนามว่าละเอียดประณีตของมนุษยชาติ
คืออารยธรรมจีน (หากเริ่มจากจักรพรรดิจีนองค์แรกที่รู้จักกันในนามว่าจิ๋นซีฮ่องเต้
Qin
Shi Huang ไปจนถึงจักรพรรดิองค์สุดท้ายในราชวงศ์ Qing,
221BC-1912). สังคมจีนในยุคนั้น(ที่ยังส่งผลต่อมาถึงยุคนี้ด้วย)
เป็นสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่ patriarcal อย่างแท้จริงและเด็ดขาด.
ในสังคมแบบนั้น ผู้หญิงไม่ได้มีตัวตน
ไม่ใช่เอกบุคคลเสมอผู้ชาย
เธออยู่ใต้อิทธิพลของผู้ชาย และเธออยู่ไม่ได้ตามลำพังตนเอง.
ผู้หญิงถูกลดให้เป็นคนเพศเมีย เป็นสินค้าในตลาดหาคู่. ชะตากรรมของเธอหรือสถานะทางสังคมของเธอ
ขึ้นอยู่กับความพร้อมในการปรนเปรอความสุขทางเพศแก่สามี
และความสำเร็จในการทำหน้าที่ต่อเชื้อสายของตระกูลของสามี.
ส่วนใหญ่ ครอบครัวเด็กผู้หญิงเธอได้กำหนดผู้ที่จะเป็นสามีของเธอแล้วตั้งแต่เธอเกิด
โดยยึดขนบธรรมเนียมหรือมาตรการอันซับซ้อนในระบบเครือญาติและการสืบสกุลเป็นหลัก. แต่การจับคู่ในวัยสาวก็มีเหมือนกัน และอาจขึ้นอยู่กับการเสนอกับการสนองระหว่างสองครอบครัว. การแข่งขันแย่งชิงผู้ชายจากตระกูลสูงนั้น
พ่อแม่ฝ่ายหญิงต้องวางแผนตั้งแต่เมื่อลูกสาวยังเป็นเด็กเล็ก เพื่อให้เธอได้รับเลือกไปเป็นภรรยาของลูกชายในตระกูลดีและ/หรือร่ำรวย. ความพร้อมของเธอตามเงื่อนไขและค่านิยมต่างๆ
เป็นดัชนีชี้ค่าตัวของเธอ และระบุราคาซื้อขายในตลาดหาคู่. สำหรับครอบครัวของผู้ชายนั้น
เด็กสาวแต่ละคนที่เข้าไปในครอบครัว เป็นเครื่องหมายของอำนาจ
เหมือนถ้วยรางวัลชนะเลิศ ที่ประกาศให้สังคมรู้ว่าครอบครัวมั่งคั่งและมีอำนาจมากน้อยเพียงใด. กฎเกณฑ์ต่างๆที่กำหนดไว้ให้ผู้หญิงในสังคมจีน
รวมทั้งประเด็นความต้องการต่างๆที่สังคมต้องการจากเธอ และที่เธอต้องรีบสั่งสมเพื่อเพิ่มคุณค่าแก่ตัวเธอเองตั้งแต่วัยเยาว์
มีทุกอย่างทุกแบบตั้งแต่เรื่องสามัญไปจนถึงคุณสมบัติผู้ดีที่ละเอียดซับซ้อน
คุณสมบัติในฐานะแม่บ้าน หรือคุณสมบัติของสตรีชาญฉลาดในสังคมชั้นสูง
และที่แน่นอนคือต้องเป็นหญิงพรหมจารีย์ ที่เหมือนประกาศนียบัตรรับรองคุณภาพของผู้ที่ซื้อเธอไป.
คุณสมบัติที่เด็กสาวต้องมีนั้น
รวมถึงการปรับ การดัดแปลงส่วนต่างๆของร่างกายให้เป็นไปเพื่อดึงดูดเพศ
เพื่อสนองความสุขทางเพศ เช่นการเสริมให้ใหญ่ขึ้น, การมัดการพันเท้าของเด็กหญิงให้เหลือเล็กที่สุด
เป็นหนึ่งในวิธีการดังกล่าว.
การมัดเท้าของเด็กผู้หญิงในสังคมจีน
เป็นพยานหลักฐานยืนยันว่าผู้หญิงคือสินค้าอย่างหนึ่ง.
ชายใดเป็นเจ้าของเด็กสาวเท้าเล็กๆ (ที่เป็นภรรยาหลวง เมียน้อยหรือนางบำเรอ)
ยิ่งมีจำนวนมากเท่าใด ยิ่งเสริมหน้าตาและความสำเร็จในสังคมของเขา. คนที่ทำหน้าที่หาสามีให้เด็กสาวของครอบครัวหนึ่ง
จะนำรองเท้าคู่เล็กของหญิงสาวคนนั้นไปให้แม่ของครอบครัวผู้ชายดู
(ไม่ใช่นำภาพเหมือนของหญิงสาวไปให้ดูหรอกนะ)
ยิ่งรองเท้าของเธอเล็กเท่าใด เด็กสาวคนนั้นยิ่งมีโอกาสจะได้รับเลือก. ชาวจีนเชื่อว่า
ความเล็กของเท้าเป็นของขลังอย่างหนึ่งที่นำโชคลาภมาสู่ครอบครัว
และหญิงสาวเท้าใหญ่ไม่สามารถได้สามีที่นำเกียรติและศักดิ์ศรีมาแก่ตระกูล. แม่ของฝ่ายชายจะสามารถตัดสินจากรองเท้าของเด็กสาวคนนั้นว่าเธอมีขีดความอดทนอดกลั้นในระดับไหน
และมีความชำนาญในการเย็บปักถักร้อยเพียงใด.
ความอดทนกับความชำนาญในเรื่องเย็บปักถักร้อย เป็นคุณสมบัติสำคัญที่สุดสองสิ่งสำหรับการเป็นภรรยา. หญิงสาวที่มีเท้าใหญ่ นอกจากจะหาสามีได้ยากหรือหาไม่ได้แล้ว
ยังเป็นที่เยาะเย้ยของทุกคนอีกด้วย.
ใครเป็นผู้มัดเท้าให้เด็กผู้หญิง?
มารดาหรือย่าเป็นผู้ทำให้เด็กผู้หญิงในครอบครัว
บางทีอาจใช้บริการของหญิงตำแย ทั้งหมดเป็นผู้หญิง
หากผู้เป็นพ่อไม่เห็นด้วย พวกผู้หญิงจะคอยให้เขาออกเดินทางไปต่างถิ่นก่อน.
เราต้องไม่ลืมว่า ผู้หญิงเป็นผู้เฝ้า ผู้อนุรักษ์ขนบธรรมเนียมประเพณี.
ในสังคมที่มีขนบเข้มงวดในยุคก่อนนั้น แต่ละคนต้องรู้จักอยู่กับตำแหน่งหน้าที่และอยู่กับสถานะของตนบนบันไดสังคม
อยู่ใต้กรอบความประพฤติที่สังคมได้กำหนดมานานแล้ว
เช่นเดียวกันกับการเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวในกลุ่มสังคมของตน แต่ละคนต้องหลอมตัวเข้าในกรอบที่เขาอยู่อย่างสมบูรณ์เพื่อจรรโลงโครงสร้างสังคมให้ยั่งยืนยงตลอดไป. ความประพฤติดังกล่าวเป็นเงื่อนไข sine qua non ที่ทำให้เอกบุคคลมีชีวิตอยู่ได้. อีกประการหนึ่งการศึกษาพื้นฐานของเด็กชาวจีน
การเรียนรู้การเข้าสังคมตั้งแต่วัยเด็ก ทั้งหมดนี้อยู่ในมือของผู้หญิง.
การมัดเท้าของเด็กผู้หญิงเป็นทางเดียวที่ทำให้พวกเธอมีอนาคต และหากโชคอำนวย
พวกเธออาจก้าวขึ้นสู่สถานะสังคมที่ดีกว่า
ที่มีระดับสูงกว่าสถานภาพดั้งเดิมของครอบครัวที่เธอเกิด หรืออย่างน้อยที่สุดทำให้เด็กผู้หญิงเหล่านั้นไม่ตกอับ
ยากจน อดตายหรือกลายเป็นขยะสังคม.
เมื่อแม่ผูกมัดเท้าของลูกผู้หญิง
เธอกำลังถ่ายทอดความหมายของการทำแบบนั้นในสังคมที่พวกเธออยู่. เช่นนี้ความรู้เกี่ยวกับโครงสร้างสังคม
เด็กผู้หญิงได้รับผ่านกระบวนการสร้างค่าของผู้หญิงให้มีเท้าเล็กที่สุด. ต่อมาเมื่อเด็กผู้หญิงเหล่านี้เป็นแม่
เธอเองก็จะพันและมัดเท้าลูกๆ ผู้หญิงของพวกเธอ.
เฉกเช่นดอกบัวที่ได้อาหารหล่อเลี้ยงชีวิตจากโคลนตมที่มันเกิดและมันก็แบ่งบานเป็นดอกบัวที่โผล่ขึ้นเหนือน้ำ
บริสุทธิ์ สะอาดหมดจด. โคลนตมแทนความทุกข์ ความลำบาก กิเลสตัณหาต่างๆ
ที่เป็นบ่อเกิดและพื้นฐานของชีวิต ก่อนจะแบ่งบานเต็มที่ บนเส้นทางของการเรียนรู้
การปรับเปลี่ยนและการบรรลุสู่สถานะที่สูงขึ้น สู่แสงสว่าง เหมือนที่ดอกบัวกลายเป็นภาพลักษณ์ของความสง่างามไร้ตำหนิ
ของความเป็นผู้ดี.
เช่นนี้เองที่เท้าเล็กๆรูปดอกบัวจึงเป็นเสน่ห์มัดใจชายผู้สูงศักดิ์.
การมัดเท้าในประวัติศาสตร์จีนนั้น
เริ่มขึ้นในศตวรรษที่ 10 การมีเท้าเล็กทำให้เธอต่างจากสามัญชนคนอื่นๆ บ่งบอกความมีรสนิยมที่ประณีต. เริ่มในหมู่สตรีชาววังและในหมู่ชนชั้นสูงก่อน
แล้วจึงค่อยๆแพร่หลายไปในหมู่ชนชั้นกลางและในที่สุดเข้าไปถึงผู้หญิงในทุกชนชั้น. ในยุคนั้น สตรีจีนผู้โก้เก๋
ต้องการให้ตัวเองเด่นเหนือชาวมงโกลผู้เข้าไปรุกรานจีน
(ที่มีกิริยาท่าทางห้าวหาญจนเกือบจะหยาบกระด้าง. มีเอกสารจารึกไว้ว่าหญิงชาวมงโกลมีเท้าใหญ่).
เล่ากันว่าการมัดเท้า เริ่มมาจากความหลงใหลของเจ้าชาย
Li Yu (ศตวรรษที่ 10) ต่อนางสนมคนหนึ่งที่ชื่อ Lady
Yao เพราะนางมีเท้าที่เล็กมาก นางยืนเต้นระบำปลายเท้าบนแท่น(สี)ทองรูปดอกบัวที่ประดับด้วยเพชรนิลจินดา. ความน่าถนอมของเท้าของนาง ทำให้นางสนมคนอื่นๆอิจฉาริษยา และพยายามทุกวิถีทางที่จะทำให้เท้าของพวกเธอดูเล็กลงด้วยการมัดการพันเท้าไว้. เช่นนี้เท้าถูกดัดแปลงออกไปจากลักษณะเดิม
และได้จุดประกายให้มีการแต่งโคลงกลอนเกี่ยวกับเท้าเล็กๆของสตรี ยถคนั้นเรียกเท้าแบบนั้นว่า
เท้าดอกบัวทอง.
การมัดและพันเท้าเริ่มเมื่อเด็กผู้หญิงอายุได้ 4 หรือ 5 ขวบ
การพันเท้าเป็นการทำให้รูปร่างเท้าเปลี่ยนไปทีละเล็กทีละน้อย.
ต้องใช้เวลานานและต้องทนเจ็บมากกว่าจะได้เท้าเล็กสมความมุ่งหมาย.
ผู้เป็นแม่จะดึงนิ้วเท้าเล็กสี่นิ้วไปไว้ใต้ฝ่าเท้า ให้ไปใกล้ส้นเท้าให้มากที่สุด.
นิ้วหัวแม่เท้าเท่านั้นที่ถูกปล่อยไว้ตามธรรมชาติ ไม่ทำอะไรกับมัน. การมัดเท้าแบบนี้จะเพิ่มความแน่นมากขึ้นๆ
จนทำให้กระดูกของนิ้วเท้าถูกดัดงอตามไป.
ขั้นที่สองเท้าถูกดัดโค้งไปตามท่อกลวงทองแดงขนาดเล็กเพื่อให้เท้าส่วนหน้าและหลังบรรจบกัน
ยกเว้นนิ้วหัวแม่เท้า และทำให้หลังเท้านูนโค้ง.
จุดมุ่งหมายในการทำอย่างนี้เพื่อให้เท้าเล็กที่สุดที่จะเล็กได้ในขณะเดียวกันเท้าก็กลายรูปร่างไป
โดยมีนิ้วหัวแม่เท้าโดดเด่น และหลังเท้าโค้งเป็นโพรงกลมอยู่ใต้ฝ่าเท้า.
เล่ากันว่าโพรงนี้และหัวแม่เท้ามีส่วนเพิ่มความสุขทางเพศแก่ผู้ชาย.
เวลาที่เท้าของเด็กสาวจะพ้นการพันการมัดก็เมื่อเธออาบน้ำ ทุกวัน(บางตำราบอกว่าทุก 3 วัน) หลังอาบน้ำ และทุก 2 อาทิตย์ เท้าจะถูกมัดให้แน่นขึ้นอีก
แล้วถูกสอดลงในรองเท้าที่มีขนาดเล็กกว่าคู่ที่ใส่มาก่อนวันนั้น. จุดมุ่งหมายคือบีบให้เท้าเป็นรูปดอกบัว
บีบไม่ให้เท้ายาวเกิน 7.5 ซม.-10 ซม. เท้าขนาดนี้เรียกว่า เท้าดอกบัวเงิน.
เมื่อเธอแต่งงานไปแล้ว สามีเป็นผู้ถอดรองเท้าให้เธอ และดึงผ้าพันเท้าของเธอออก
เป็นจุดเริ่มต้นในกระบวนการแสดงความรักใคร่ในตัวเธอ.
ผ้ามัดเท้านั้นเป็นแถบผ้าฝ้ายหรือผ้าไหมยาว 3 เมตร
ซึ่งสามีอาจใช้มัดตัวภรรยาไว้เพื่อให้เธอยอมเขา.
เจาะจงกันมาด้วยว่า บนรองเท้าที่เด็กสาวสวมในคืนวันแต่งงานนั้น
มีฉากแสดงความรักแบบต่างๆปักไว้อย่างชัดเจน เป็นบทสอนแก่เจ้าสาว.
เท้าเล็กรูปดอกบัวนั้น
ถือเป็นส่วนของร่างกายที่กระตุ้นความใคร่ที่สุด และรองเท้าเล็กๆแสนน่ารักของพวกเธอ
ก็เป็นที่รวมจินตนาการของความใคร่ความพิศวาท.
สามีชาวจีนชื่นชมรองเท้าดอกบัวเล็กจิ๋วของบรรดาผู้หญิงในอ้อมแขนของเขา. เขานำรองเท้าคู่เล็กๆของพวกเธอออกอวดด้วยความภาคภูมิใจ
บางทีจัดวางไว้บนถาดเล็กๆ.
ผู้หญิงมีรองเท้าดอกบัวที่ปักอย่างสวยงามและประณีตเป็นจำนวนร้อยๆคู่.
พวกเธอใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆปักรองเท้าแต่ละคู่
ที่ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการแพร่พันธุ์ ของการมีอายุยืนยาว
ของดุลยภาพและของการผนึกรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน.
มีเรื่องเล่าต่อกันมาว่าในปลายศตวรรษที่
19 เมื่อทูตจีนคนหนึ่งถูกส่งไปประจำที่ราชสำนักของรัสเซีย ตามกระบวนวิถีการทูต
เขามิอาจพาภรรยาคนใดคนหนึ่งของเขาที่มีเท้ารูปดอกบัวไปรัสเซียด้วย
ดังนั้นเขาทดแทนด้วยการนำรองเท้าปักของเหล่าภรรยาไปในกระเป๋าเดินทางจำนวนมาก
และสารภาพว่ารองเท้าเหล่านั้น
ได้ให้ความพอใจทางเพศอย่างเพียงพอตลอดระยะเวลาที่เขาอยู่ในรัสเซีย. พึงรู้ว่า รองเท้ารูปดอกบัวสีแดง เคยเป็นของรองเท้าของสตรีในราชสำนักมาก่อน.
ในอีกมุมมองหนึ่ง
การมัดเท้าเป็นวิธีการจำกัดเสรีภาพของผู้หญิงได้ เพราะเท้าเล็กๆที่บิดจนผิดรูปลักษณ์ธรรมชาติ
ที่ทำให้เธอทนทุกข์ทรมานมาเป็นเวลาสิบกว่าปีตั้งแต่วัยเด็กเล็ก
และเมื่อเธอเติบโตเป็นสาว เท้าอย่างนั้นทำให้พวกเธอเดินด้วยความยากลำบาก
เดินช้าและไม่คล่องตัว ก้าวสั้นๆหรือต้องกระโดด
โดยปริยายผู้หญิงจีนจึงมีชีวิตจำกัดอยู่ภายในบ้านในครอบครัวเท่านั้น
แม้ในบทกวีจีนจะเขียนสรรเสริญว่าพวกเธอมีกิริยาอาการเคลื่อนไหวเหมือนนกนางแอ่นที่กำลังโผบิน
แต่บทกวีเหล่านั้น ผู้ชายเป็นคนเขียน พรรณนาจากที่เห็นกับตา บวกจินตนาการฝันของพวกเขา.
หากกวีทั้งหลายต้องถูกมัดเท้าอย่างนั้นบ้าง วรรณกรรมจีนคงพลิกผันไปไม่น้อย. ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากกระบวนการดัดเท้าให้เล็กน่าใคร่ที่ทำกันมาพันกว่าปีแล้วนั้น ทำให้พวกเธอเหมือนคนทุพพลภาพ. ทำให้พวกเธอข้อเท้าบวม หรือเป็นหนอง
กล้ามเนื้อไม่เจริญเติบโตหรือกลายเป็นอัมพาต ทำให้เท้าผิดรูปเป็นเท้าปุกเพราะนิ้วเท้าถูกฝังเข้าไปใต้ฝ่าเท้า.
การมัดเท้าพันเท้าค่อยๆน้อยลงเมื่อประเทศจีนกลายเป็นประเทศสาธารณรัฐในปี
1912 และหมดไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อประธานาธิบดีเม๋าเจอตุงออกกฎหมายห้ามการมัดเท้าอีกต่อไปอย่างเด็ดขาดในปี
1949.
ขนบธรรมเนียมโบราณในเกือบทุกประเทศ
จัดให้เท้าเป็นสิ่งกระตุ้นความกระสันสวาท
ที่ต้องนำออกโชว์เพื่อให้เห็นคุณค่าของมันอย่างเต็มที่. ที่รู้จักกันแพร่หลายและชัดเจนที่สุด
คือธรรมเนียมจีน.
เท้าผู้หญิงถูกมัดตั้งแต่เด็ก มิให้มันเติบโตและคุมให้มันอยู่ในขนาดเล็ก
ให้เหมือนดอกบัวดอกหนึ่ง. คำ
กล่าวที่ชาวโลกพูดถึงหญิงชาวจีนในสมัยก่อนคือ
“ หญิงที่เท้าถูดมัด”
ตัวอย่างรองเท้าในศตวรรษที่
19 ของผู้หญิงจีน รองเท้าดอกบัวที่เห็นนี้ มีขนาดยาวเพียง 7.6 เซนติเมตร
หรือราว 3 นิ้ว การมีเท้าเล็กๆอย่างนี้
ถือเป็นคุณสมบัติล้ำเลิศเหนือคุณสมบัติอื่นๆของหญิงจีน.
ในวิถีสังคมสมัยใหม่
คนสวมรองเท้าเกือบตลอดเวลา เมื่ออยู่นอกบ้าน แม้เมื่ออยู่ภายในบ้าน
ก็ยังมีรองเท้าแตะเป็นผ้านิ่มๆหรือรองเท้าแตะแบบอื่นสำหรับสวมในบ้าน
ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีอาจมาจากประเทศที่อยู่ในเขตอากาศหนาว
เพื่อรักษาเท้าให้อบอุ่นเสมอ. ในประเทศศูนย์สูตร คนคุ้นเคยกับการเดินเท้าเปล่ามากกว่า
โดยเฉพาะภายในบ้าน พื้นไม้
พื้นอิฐหรือหินขัด ทำให้เย็นสบายเท้าโดยเฉพาะเมื่ออากาศร้อนมาก.
การเดินเท้าเปล่าไปบนพื้นไม้หรือพื้นหินขัดช่วยผ่อนคลายความร้อนได้
รวมถึงการเดินเท้าเปล่าไปบนพื้นปูกระเบื้องเคลือบในห้องน้ำ พื้นสนามหญ้าหรือพื้นทรายตามชายหาด. เท้าจึงเป็นจุดรับรู้สภาพธรรมชาติของพื้นโลกและรับรู้สภาพภูมิอากาศ
สัมผัสแดดหรือรับลมในทุกฤดูกาล. ธรรมชาติสร้างเท้าคนมาอย่างดี มันแข็งแรง
หนาและใหญ่เพียงพอเพื่อรับน้ำหนักทั้งร่าง เพื่อให้เราเดินได้ วิ่งได้ กระโดดได้
เต้นรำได้. คนมีความสามารถสูงสุดในการเคลื่อนไหวเท้าได้อย่างพิเศษพิสดารมากท่าหลายทางจริงๆเมื่อเทียบกับสัตว์อื่นที่มีสองขาเท่าคน.
สตรีชาวตะวันตกโดยเฉพาะไม่ยอมแลกเสรีภาพของเธอกับการทนทรมานตนเองเกือบตลอดชีวิตในแบบหญิงจีน
เพียงเพื่อให้มีเท้าที่กระตุ้นเพศ หรือสวยเพื่อผู้ชาย. เท้าได้เพิ่มนัยยะสำคัญขึ้นอีกมิติหนึ่ง
คือเป็นสัญลักษณ์ของเสรีภาพของแต่ละบุคคล.
(อ่านรายละเอียดได้ในหัวข้อเรื่อง
Foot binding ในวิกิพีเดีย
หรือเพ็จอื่นๆก็มี
โชติรส โกวิทวัฒนพงศ์ รายงาน ณ
วันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๘.
No comments:
Post a Comment