Friday 25 August 2017

ประติมากรรมใหม่ในโบสถ์เก่า Chester

ข้าพเจ้าเลือกเดินทางไป Chester ในช่วงเวลาที่มีนิทรรศการ ARK ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 7 กรกฎาคมถึงวันที่ 15 ตุลาคมปี 2017. เห็นเขาลงเชิญชวนว่า ARK เป็นนิทรรศการประติมากรรมสมัยใหม่และประติมากรรมร่วมสมัยระดับโลก และจัดขึ้นภายในโบสถ์เมืองเชสเตอร์และพื้นที่สวนรอบๆโบสถ์. มีผลงานมาแสดง 90 ชิ้น เป็นงานสามมิติ ฝีมือประติมากรนานาชาติมากกว่า 50 คน. การเลือกใช้พื้นที่ของโบสถ์เชสเตอร์ที่สร้างมาเก้าร้อยกว่าปี เป็นฉากและที่ตั้งของประติมากรรมสมัยใหม่ จึงเป็นจุดดึงดูดผู้คน.
       ชื่อ ARK [อาค] คืออะไร หมายถึงอะไร เมื่อเห็นป้ายครั้งแรก เห็นเป็นคำ ART โดยอัตโนมัติ ต่อเมื่อไปถึงที่นั่น จึงเห็นว่าเป็นคำ ARK (เรือ) และเพิ่งเข้าใจตอนนั้นว่า มันอาจโยงไปถึงเรือของโนอาห์ (Noah’s ark) ที่ยาเว(คำเรียกพระเจ้าในคัมภีร์ไบเบิลเก่า)มาบอกให้สร้างแล้วอพยพครอบครัวและสัตว์ทุกชนิดอย่างละคู่ลงไปอยู่ในเรือ หลังจากนั้นพระเจ้าดลบันดาลให้เกิดน้ำท่วมมหากาฬชำระล้างโลก. ครอบครัวของโนอาห์จึงรอดตายและสัตว์ทั้งหลายก็ได้สืบสายพันธุ์ต่อมาบนโลก. ในความหมายกว้างๆ Ark จึงเป็นที่หลบภัย ที่ปกป้องสิ่งที่อยู่ภายใน. ตามหลักการ โบสถ์เป็นสถานศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่ชุมนุมของประชาชน. ในบริบทของศาสนาคริสต์ เรือใช้เป็นบทเปรียบเทียบอุปมาอุปมัยเสมอมา โบสถ์เป็นเรือพาคนสู่สวรรค์. ลักษณะเพดานโบสถ์ทรงครึ่งวงกลมหรือทรงโค้งรีสะท้อนภาพของท้องเรือที่แล่นไปในทะเลท้องฟ้าและเมฆหมอกสู่สวรรค์. ในมุมมองนี้ ข้าพเจ้าจึงเข้าใจเนื้อหาของนิทรรศการ และก็พบว่า ประติมากรรมเกือบทั้งหมดที่แสดงที่นั่น เกี่ยวกับสัตว์ เพราะโนอาห์ได้นำสัตว์ทุกชนิดๆละคู่ลงเรืออาคด้วย. โบสถ์เชสเตอร์จึงเป็นเรือ Ark. พื้นที่และบรรยากาศภายในโบสถ์ เอื้อต่อการเข้าชมนิทรรศการ. ผู้จัดหวังไว้ว่าทุกคนไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่จะพอใจและได้ประสบการณ์บางอย่างจากการไปเข้าชมนิทรรศการนี้.  
ด้านหน้าของโบสถ์เชสเตอร์
 ประติมากรรมชิ้นแรก ตั้งตรงหน้าโบสถ์เลย
ม้าลากเกวียนที่บรรทุกอะไรสองชิ้น หน้าตาเหมือนถั่วลิสงขนาดยักษ์ หรือ(ฟัก)แฟงขนาดมหึมา ตัวม้าเป็นเซรามิคทั้งตัว เป็นม้าขนาดเท่าตัวจริงที่คนใช้ลากรถ(shire-horse).  ม้าลากอาหารขึ้นเรืออาคของโนอาห์หรือไฉน? แต่คนสร้าง(Sarah Lucas) ตั้งชื่อประติมากรรมนี้ว่า Perceval ชื่ออัศวินหนุ่มผู้มีจิตใสบริสุทธิ์คนสุดท้ายในหมู่อัศวินโต๊ะกลมของพระเจ้าอาร์เธอร์. Perceval ออกติดตามหาถ้วยเหล้า(The Holy Grail) ถ้วยที่พระเยซูใส่เหล้าองุ่นแบ่งให้เหล่าสาวกได้ดื่มในอาหารมื้อสุดท้าย(the Last Supper) และต่อมาโจเซฟอารีมาเธียนำมารองรับเลือดที่ไหลจากแผลบนตัวพระเยซู กลายเป็นถ้วยศักดิ์สิทธิ์ ที่ผู้คนต้องการสัมผัสเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตน. ทำไมผู้สร้างตั้งชื่อประติมากรรมนี้ว่า Perceval.  หากคิดถึงเรื่องราวของ Perceval ในตำนาน ผู้เดินทางแสวงหาถ้วยศักดิ์สิทธิ์ ม้าที่เขาใช้ คงไม่ใช่ม้าลากเกวียน, หรือ ศิลปินยังห่วงกังวลกับเรื่องปากท้อง ต้องมีเกวียนบรรทุกสัมภาระทั้งอาหารและเครื่องนุ่มห่มเพื่อเดินทางไกล หรือเขาอาจนำไปแจกจ่ายแก่ชาวบ้านเยี่ยงนักบุญ. ดูไปคิดไป. ในมุมมองนี้ ม้าและเกวียนคือพาหนะที่พาไปสู่จุดหมาย เหมือนเรืออาคที่พาครอบครัวของโนอาห์และสรรพชีวิต ไปมีชีวิตใหม่เหมือนเกิดใหม่. บนเส้นทางแห่งการแสวงหาถ้วยศักดิ์สิทธิ์ Perceval ได้เรียนรู้ วิเคราะห์และพัฒนาจิตวิญญาณของเขาเอง จนในที่สุดตระหนักถึงบทบาท หน้าที่และความหมายที่แท้จริงในการแสวงหาพระเจ้า.
เมื่อเดินอ้อมโบสถ์ไปด้านหลัง เห็นพื้นที่สวนติดย่านอาคารบ้านเรือน เป็นที่ตั้งของประติมากรรมหินรูปทรงโคนรีหรือรูปไข่ขนาดใหญ่ๆสามรูป ศิลปินผู้เนรมิต(Peter Randall-Page) ตั้งชื่อไว้(จากขวาไปซ้ายในภาพ)ว่า Fructus, Phyllotaxus, Corpus. ดังภาพข้างล่างนี้
เจ้าของตั้งชื่อตามที่เขาต้องการ สื่ออะไรที่เขาคิดไว้ หากดูตามชื่อละตินที่เขาใช้ รูปแรกเกี่ยวกับผลไม้ รูปถัดไปทางซ้ายเกี่ยวกับใบไม้ และรูปสุดท้ายแถวทำให้นึกถึงลักษณะขดๆในสมองคน. เขาเจาะจงว่านี่เป็นตัวอย่างของเรขาคณิตอินทรีย์ (organic geometry) ศัพท์“ใหญ่”ฟัง“สูง” ที่น่าจะพูดได้ง่ายๆว่าธรรมชาติเป็นแหล่งรวมรูปลักษณ์หลากหลายหาที่สุดมิได้.
เดินต่อไปในสวนด้านทิศใต้ ดังภาพข้างล่างนี้
 รูปปั้นนกกาน้ำทะเล(cormorants)สองตัวเผชิญหน้ากัน
ของ Tenrence Coventry
 ตรงมุมนี้ รูปปั้นเด็กมีนกเกาะที่มือ ของ Antony Abrahams
 พื้นที่สวนบริเวณนี้ของโบสถ์เชสเตอร์ เคยเป็นที่ฝังศพมาก่อน
Photochrom print c. 1890-1900
from the Detroit Publishing Company, 1905.
Source of image: Library of Congress LC-DIG-ppmsc-08177vj.
เมื่อเข้าไปในโบสถ์ รู้สึกทันทีว่าโล่ง โปร่ง สะอาด เก้าอี้ทั้งหลายถูกนำออกไปหมด เหลือพื้นที่ว่างโอ่โถงสำหรับตั้งประติมากรรมในนิทรรศการนี้. น่าเสียดายว่า ประติมากรรมแต่ละชิ้นไม่มีคำอธิบายใดๆประกอบ เพราะเขานำไปรวบรวมเป็นหนังสือเล่มหนาหนักไว้ขาย. มันหนักเกินแบก. หลังจากได้เดินดูโดยทั่วแล้ว ยังคงปลื้มกับประติมากรรมสมัยก่อนที่มีให้เห็นในโบสถ์ ที่ยังชวนมอง ชวนพินิจความละเอียดประณีต แม้มันจะเก่ามานานกว่าร้อยถึงเก้าร้อยปีแล้ว. ฤาวิธีการสร้างสรรค์ของคนยุคใหม่และโดยเฉพาะที่เห็นที่นั่น ไม่สอดคล้องกับจริตส่วนตัว.
     ตรงกลางลำตัวของโบสถ์ ลิงกอริลลาตัวใหญ่กำลังก้มมองตนเองในกระจกอย่างขะมักเขม้น.
 The Birth of Consistency ผลงานของ Angus Fairhurst.
ประติมากรรมนี้ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงภาพหนึ่งที่ได้เห็นมานานแล้ว เป็นภาพที่เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแห่งหนึ่งในแอฟริกา แอบถ่ายเมื่อเห็นพฤติกรรมของลิงบาบูนที่หยิบเศษกระจกชิ้นหนึ่งที่เก็บได้ ขึ้นดูและนั่งมองกระจกอยู่นานสองนานอย่างครุ่นคิด.
ภาพดังกล่าวประทับใจข้าพเจ้าในหลายมิติ จึงไม่เคยลืม. ประติมากรรมลิงกอริลลานี้ รู้ในภายหลังว่า ผู้สร้างตั้งชื่องานชิ้นนั้นว่า The birth of consistency. ข้าพเจ้าคิดตามบริบทสังคมปัจจุบันว่าน่าจะมีนัยของการยืนยันอัตลักษณ์ของตนเองและต่อไปถึงการสร้างภาพลักษณ์ของตัวเองด้วย โดยอาศัยกระจกที่สะท้อนความจริง และที่ผลักดันให้พัฒนาตัวเองเพื่อให้ดูดีขึ้นหรือดีกว่าความเป็นจริงได้.  
ในบริบทของวิทยาการและปรัชญา กระจกเป็นเครื่องมือชิ้นแรกๆของความรู้ ของการใฝ่รู้พินิจพิเคราะห์ที่สำคัญมากที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ. กระจกเป็นเครื่องมือของศาสนาทั้งในการสร้างภาพมายาหรือในการนำสายตาไปสู่ท้องฟ้าเบื้องบน ไปถึงสวรรค์และช่วยให้จินตนาการความบรรเจิดแจ่มจรัสของพระเจ้า.
นึกโยงไปถึงข้อความนี้ Μάθετε τον εαυτό σας και θα γνωρίσετε το σύμπαν και τους θεούς (Máthete ton eaftó sas kai tha gnorísete to sýmpan kai tous theoús ที่แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า Know thyself and thou shalt know the Universe and the Gods. ข้อความนี้จารึกไว้ที่วิหารเมือง Delphe ในกรีซ ที่โสเครติสได้นำมาคิดวิเคราะห์วิจารณ์ เป็นประเด็นปุจฉา-วิปัสสนาที่ฝังในจิตสำนึกของปัญญาชนชาวตะวันตก จงรู้จักตัวเองอย่างถ่องแท้ แล้วเจ้าจะรู้จักจักรวาลและมองเห็นเทพเจ้าทั้งหลาย. (ประเด็นสำคัญในพุทธศาสนาด้วย)
กระจกเป็นเครื่องมือและเนื้อหาของวรรณกรรม ปรัชญาและศิลปะเสมอมา ปูเส้นทางจากการมองเห็นตัวเอง ความตระหนักรู้ในอัตตา ไปถึงความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติที่แท้จริงของตนเองในทุกมิติ เกี่ยวกับศักยภาพของตัวตนในโลกกายภาพ และนำไปสู่การหยั่งรู้โลกที่ตามองไม่เห็น. ตามขนบและอุดมการณ์ของการสร้างโบสถ์ในคริสต์ศิลป์ โบสถ์เป็นกระจกส่องธรรมชาติ ส่องศาสตร์วิชา ส่องประวัติศาสตร์ ส่องคุณธรรม และส่องจิตวิญญาณ (Cf. โชติรส  โกวิทวัฒนพงศ์ : เข้าใจโบสถ์ฝรั่ง ศาสนาศิลป์ยุคกลางในยุโรป )
 ประติมากรรมยืนเงียบๆของ Ann Christopher ตั้งชื่อไว้ว่า Line of Silence.
มองความเงียบในแนวตั้ง ไต่ขึ้นสู่ความเงียบชั้นสูงๆ
เหมือนจะให้ผละจากโลกสับสนวุ่นวายบนพื้นโลก สู่ความสงบของโลกสวรรค์
 ส่วนประติมากรรมนี้ ผลงานของ Barbara Hepworth ตั้งชื่อไว้ว่า
Hollow form with inner form
ที่ทำให้ข้าพเจ้าคิดว่า สิ่งที่ดูเหมือนกลวงอาจซ่อนอะไรไว้ภายใน
เหมือนโบสถ์ที่ไร้คนเข้า ยังมีสำนึกของคนในอดีตอัดเต็มอยู่
ถ้าไม่นับถือศาสนาของคนอื่น ยังควรเคารพสถานที่และอย่าดูหมิ่น
เมื่อมองดูประติมากรรมใหม่ที่นำเข้าไปตั้งในโบสถ์เชสเตอร์ จะไม่สนใจส่วนต่างๆของโบสถ์ที่เป็นฉากหลังของประติมากรรมทั้งหลาย ก็ผิดสามัญสำนึก. เห็นกำแพงทางเดินด้านซ้ายของลำตัวโบสถ์ ประดับด้วยจิตรกรรมโมเสก ที่อยู่ณตรงนั้นมาหลายร้อยปีแล้ว ภาพเล่าเนื้อหาในคัมภีร์ไบเบิลเก่า สวยงามชวนติดตามไม่น้อยเลย.

เมื่อยืนมองบนแนวตรงจากทิศตะวันตกสู่ทิศตะวันออก ลำตัวโบสถ์(nave)ที่ยามปกติมีเก้าอี้นั่งจัดวางเรียงรายสำหรับผู้ไปร่วมพิธีศาสนา หรือเพียงเข้าไปนั่งพักร้อน หรือไปฟังเพลงประสานเสียงยามมี choral evening songs. กาลเวลาทำให้บรรยากาศภายในอบอวลด้วยอณูขลังๆดังภาพข้างล่างนี้  มองเห็นตรงไปถึงฉาก(rood screen)ที่คั่นบริเวณหน้าอก(Quire/Choir) ของโบสถ์จากลำตัวโบสถ์. เราไม่ลืมว่า โบสถ์สร้างตามสัดส่วนของรูปร่างคนเมื่อยืนกางแขนออกสองข้างในระดับเสมอไหล่. บริเวณหน้าอกเป็นที่ตั้งของแท่นบูชาเอกและที่ชุมนุมของคณะนักบวชและคณะนักร้องประสานเสียงของโบสถ์. ปัจจุบันอนุญาตให้คริตฺศ์ศาสนิกชนเข้าไปในนั้นได้เมื่อมีพิธีศาสนา เพราะนักบวชมีจำนวนน้อยลงไปมาก นักร้องประสานเสียงก็เช่นกัน วัดหรือ chapels ในมหาวิทยาลัยเช่นที่เคมบริดจ์หรืออ๊ออกสฟอร์ด ให้ผู้ไปร่วมพิธีศาสนาเข้าไปนั่งในนั้นด้วยเลยและร่วมสวดร่วมร้องเพลงพร้อมกับคณะนักบวช.
ลำตัวโบสถ์เชสเตอร์เริ่มสร้างในปี 1323 หยุดชะงักไปเพราะเกิดโรคระบาด และสร้างต่อจนแล้วเสร็จ 150 ปีต่อมา. ภาพของ Michael Beckwith,22May2012.
[CC BY 2.0 (http://creativecommons.org/licenses/by/2.0)], via Wikimedia Commons.
เหนือที่นั่งบริเวณนี้ เหลือบตาขึ้นดูปมเพดาน(keystones of a vault)ที่ปิดทองประดับลวดลายต่างๆ
เดินตรงไปถึงฉากคั่นบริเวณศักดิ์สิทธิ์ ที่นั่นเป็นฉากไม้จำหลักประณีตและสูงโปร่งตามแบบศิลปะกอติค (เนรมิตขึ้นในศตวรรษที่ 19). เหนือขึ้นไปมีกลุ่มประติมากรรมพระเยซูบนไม้กางเขน พระแม่มารีและจอห์นยืนขนาบสองข้าง. บนเพดานโบสถ์ ดั่งในสวรรค์ชั้นฟ้า กลุ่มเทวทูตกำลังบรรเลงดนตรีสรรเสริญ.
"Photo by DAVID ILIFF. License: CC-BY-SA 3.0" 10 July 2014.
และเมื่อเดินผ่านประตูเข้าไปภายในบริเวณหน้าอกของโบสถ์ ผ่านที่นั่งของคณะนักบวชและนักร้องเพลงสวดของวัด (เรียกที่นั่งสองข้างแบบนี้ว่า choir stalls เนรมิตขึ้นในราวปี 1380 ดูภาพตัวอย่างที่นั่งแบบนี้ตอนท้ายเรื่อง) ไปถึงหน้าแท่นบูชาเอกของโบสถ์ ที่ตั้งอยู่บนแนวตรงจากประตูทิศตะวันตกสู่ทิศตะวันออก. ตรงหน้าแท่นบูชามีที่วางคัมภีร์ (lectern/lutrin) เป็นไม้แกะสลักเป็นรูปเหยี่ยวกางปีกแผ่ออกกว้าง รองรับคัมภีร์. เหยี่ยวสัญลักษณ์ของอัครสาวก John the Evangelist ผู้แต่งคัมภีร์ใหม่ผู้หนึ่ง.
 ดูแท่นวางคัมภีร์ และจิตรกรรม อาหารมื้อสุดท้าย ประดับเป็นฉากหลังแท่นบูชา
"Photo by DAVID ILIFF. License: CC-BY-SA 3.0" 10 July 2014.
แท่นวางคัมภีร์ทำขึ้นในครึ่งแรกของศตวรรษที่ 17 ที่เมือง Bologna อิตาลี
ให้สังเกตว่าบนพื้นหินบริเวณหน้าแท่นบูชา
มีวงกลม12 วงพร้อมภาพอัครสาวก12 องค์
ตามขนบคริสต์ศิลป์ แท่นบูชาหรือแท่นประกอบพิธี ตั้งอยู่สูงกว่าระดับพื้นขึ้นไปสามขั้นบันได
เพื่อโยงไปถึงเนินเขา Golgotha ที่ตรึงนักโทษประหารในยุคนั้น
ภาพของ J.R. Clayton of Clayton and Bell
ภาพข้างบนนี้ มองจากหน้าแท่นบูชาออกไปตามลำตัวสู่ทิศตะวันออก เห็นความอลังการของพื้นที่ซ้ายขวาที่จัดเป็นที่นั่งสองข้างในบริเวณหน้าอกของโบสถ์ เป็นไม้ทั้งหมด ใช้ไม้โอ๊คพันธุ์บัลติก(Baltic oak).  มีรูปลักษณ์ต่างๆจำหลักไว้เต็ม ตามแบบฉบับของศิลปะกอติคยุคกลางจนถึงศตวรรษที่ 15 ในฝรั่งเศส.
เดินไปทางแขนขวาของโบสถ์(ทิศใต้) ตรงหัวมุมมีประติมากรรมของ Charlotte Mayer ชื่อว่า Voyager ดังภาพข้างล่างนี้ 
 หอย(เปลือกหอย) นักเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเล
ใกล้ๆกันบนพื้น เจาะจงวางขดสายเชือก(?)สีแดงสด ประชดหรือประชันกัน
สิ่งที่โดดเด่นบนพื้นที่แขนขวาของโบสถ์ คือภาพข้างล่างนี้ของ Damien Hirst ตั้งชื่อไว้ว่า False Idol
 ลูกแกะตายแล้วอัดในตู้กระจก
ศิลปินเจาะจงว่านี่เป็นหนึ่งประสบการณ์ในชีวิตคน ทั้งในความรักและความตาย. ถ้ามองไกลกลับไปยังยุคโบราณในคัมภีร์เก่า ลูกแกะมักถูกคนฆ่าสังเวยพระเจ้า และมาในยุคคัมภีร์ใหม่ คริสต์ศาสนาอธิบายเปรียบเทียบพระเยซูว่าเป็นลูกแกะที่ถูกสังเวย เพื่อช่วยไถ่บาปให้มนุษย์.
โนอาห์กับกาดำ (Noah and the Raven) ของ Jon Buck ถ่ายทอดเหตุการณ์เมื่อเรืออาคของโนอาห์ล่องลอยไปในมวลน้ำมหาศาลที่ท่วมทำลายโลก ราวร้อยห้าสิบวัน เขาปล่อยกาออกไปด้วยความอยากรู้ว่า น้ำท่วมโลกได้ลดลงไปแล้วหรือยัง. ในทุกคติชนกาดำมักถูกมองในแง่ร้ายและโยงไปถึงความตายเสมอ. กาดำที่โนอาห์ปล่อยไป ไม่กลับคืนมาที่เรือ. โนอาห์จึงปล่อยนกพิราบขาวออกไป นกพิราบบินกลับคืนมา ปากคาบกิ่งโอลีฟใบอ่อนๆมาด้วย ทำให้โนอาห์รู้ว่า น้ำลดลงแล้วและพืชพรรณเริ่มงอกเงย. ผู้สร้างรูปปั้นนี้ให้กาดำเกาะแน่นอยู่บนหัวโนอาห์ เจาะจงให้รู้ว่า กาดำหมายถึงความระแวงไม่ไว้ใจสัตว์อื่นชีวิตอื่น อาจโยงไปถึงการมองโลกในแง่ร้าย(pessimism) ที่แฝงอยู่ในจิตใต้สำนึกของคน ส่วนนกพิราบสีขาวแทนความบริสุทธิ์ของจิตใจ โยงไปถึงการมองโลกในแง่ดี(optimism) ที่อาจนำไปสู่ศรัทธาและทำให้คนเชื่อในสิ่งที่ตามองไม่เห็น.
ตัวอย่างประติมากรรมชิ้นใหญ่ชิ้นเล็กอื่นๆที่จัดวางตามที่ต่างๆในโบสถ์เชสเตอร์
 เรือหรือไร มาเกยฝั่ง
ม้าลายขนาดเท่าตัวจริง
ม้าลายตัวจิ๋ว ตรงหน้าแท่นบูชาที่บอกเล่าเรื่องราวของ Mary of Bethany
อะไรถูกตรึง รากไม้หรือสัตว์ใด
นึกถึงสำนวน"แพะรับบาป" ดูที่มาของสำนวนนี้ท้ายเรื่อง
 Phillip King, Ubu’s camel
อูฐ สัตว์พาหนะสำคัญสำหรับการเดินทางในทะเลทราย
Ubu ตัวละครเอกในเรื่อง Ubu Roi ของ Alfred Jarry (1896)
คำคุณศัพท์ ubuesque รวมความอัปลักษณ์แบบต่างๆในนิสัยคน
อูฐทนร้อน ทนเหนื่อย ทนนาย
ประดิษฐ์กรรมหลายชิ้น บนทางเดินเลียบสวนภายใน(garth)
แมวไล่ตะครุบนก ดูไม่น่ารักเลย
 ยืดเส้นยืดสาย หรือกางแขนรับพลังจักรวาล
 อะไรขาวๆ ถูกเจาะทะลุ
 เรือน้อยลอยลำนิ่งอยู่กับที่หรือไฉน
ม้าประดับประกอบฉากสามตอนที่พับปิดเปิดได้(triptych)
เล่าเหตุการณ์นักบุญจ๊อจขี่ม้าฆ่ามังกร
 ห่านข้างเจ้าอาวาสผู้นอนสงบแน่นิ่ง ยังตามมาล้อกันอยู่หรือ?
 สามพี่น้อง อยู่ด้วยกันแต่ต่างกัน
นกเหยี่ยว gryfalcon ของ Nick Bibby
ตามขนบคริสต์ศาสนา เหยี่ยวเป็นนกชนิดเดียวที่บินเข้าหาดวงอาทิตย์
ตามันสู้แสงอาทิตย์ได้ จัดให้เป็นอีกหนึ่งคุณสมบัติพิเศษของพระเยซูคริสต์
ไม่มีอะไรรอดพ้นสายตาเหยี่ยว
อะไรแดงๆ เก็บไว้ในมุม
อ่างน้ำหินจำหลักสวยงามสำหรับพิธีศีลจุ่มบนทางเดินทิศเหนือ
เยื้องไปเห็นเงานกให้ฉงน
อ๋อ มยุรางามสง่าและภาคภูมิ
เดินดูสรรพสัตว์ไปในโบสถ์ ยังไม่ปลื้มเท่าเข้าไปพินิจพิจารณาไม้แกะสลักที่ประดับแถวที่นั่งสองข้างบริเวณหน้าอกของโบสถ์(เรียกว่า choir stalls) ดังตัวอย่างข้างล่างนี้
    ทำอะไรอยู่นะ
 แม่นกเจาะหน้าอกตัวเอง ให้เลือดไหลออกเพื่อเลี้ยงลูกนก
 ครึ่งคนครึ่งสัตว์ ก็ชอบดื่มเบียร์เหมือนกัน
 ขอนอนพักตรงนี้แหละ
ข้านั่งเป็นประธาน
ตรงนี้จำหลักต้นไม้แจ๊สซี” เล่าการสืบตระกูลไปถึงพระเยซู
ที่นั่งในโบสถ์สมัยก่อน ทำติดกันไปเป็นแถวยาวๆ แบ่งเป็นที่ๆ แต่ละที่มีแผ่นไม้ที่ยกพับขึ้นเมื่อไม่นั่งและวางลงเป็นมุมฉากเมื่อนั่ง (เรียกแผ่นไม้ที่นั่งแบบนี้ว่า misericord) ใต้แผ่นไม้ดังกล่าวยังเป็นที่แสดงฝีมือและจินตนาการของช่างแกะไม้ด้วย ดังตัวอย่างข้างล่างนี้




ฝีมือช่างไม้แกะสลักฉากไม้ rood screen, ที่นั่ง choir stalls และแผ่นไม้ที่นั่ง misericords ดังตัวอย่างข้างบน ยืนยันความเป็นเลิศไม่แพ้นายช่างแกะสลักไม้ของประเทศใดในยุโรป.
     โบสถ์เชสเตอร์มีอะไรอื่นที่น่าสนอีกหลายประเด็น เพราะเป็นที่ประดิษฐานสารีริกธาตุของนักบุญสตรี Werburgh จึงเคยเป็นศาสนสถานที่มีผู้เดินทางจาริกไปเคารพสักการะและขอความช่วยเหลือจากนักบุญ (cf. St.Werburgh, คริสต์ศตวรรษที่ 7 หาความรู้ต่อได้ใน Catholic Encyclopedia). พื้นโบสถ์เชสเตอร์เป็นหินสีสด ประกอบกันเป็นลวดลายสลับกันหลากหลายแบบ ประหนึ่งภาพใน kaleidoscope. นอกจากนี้การเคลือบเสาหรือส่วนโค้ง แนวบนกำแพงหรือเพดานด้วยสีเขียว สีแดง สีทองดังที่เห็นใน The Lady Chapel ณหัวโบสถ์ รับกับสีสันของบานหน้าต่างกระจกสีที่ประดับในวัดเล็กที่อุทิศแด่พระแม่มารี ดังภาพข้างล่างนี้.
 The Lady Chapel แบบสถาปัตยกรรมกอติคยุคแรกๆในอังกฤษ (1265-1290)  
"Photo by DAVID ILIFF. License: CC-BY-SA 3.0" 10 July 2014.
จิตรกรรมโมเสกที่นั่นก็คุณภาพสูง นำเสนอเนื้อหาในแต่ละเหตุการณ์อย่างละเอียด. กล่าวโดยรวมแล้ว โบสถ์เชสเตอร์อนุรักษ์ ดูแล บูรณะและปฏิสังขรณ์รูปแบบสถาปัตยกรรมและส่วนต่างๆมาได้อย่างดียิ่งจนถึงทุกวันนี้
 ตัวอย่างจิตรกรรมโมเสก เล่าเหตุการณ์สำคัญในชีวิตของอับราฮัม
กำกับข้อความเจาะจงเนื้อหาที่ต้องการเผยแพร่อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
เข้าในโบสถ์ใหญ่ๆ หากไม่ออกไปเดินในสวน Cloister garth ก็เหมือนเข้าไม่ถึงวัด. Cloister เป็นบริเวณสำคัญสำหรับชีวิตนักบวช ผู้เดินหรือนั่งพิจารณาธรรมในสวนหรือต้อนรับแขกหรือสมาชิกครอบครัวที่ไปขอพบหรือเยี่ยมเยียน.
 สวนภายในโบสถ์ ยังเก็บหลุมศพไว้หนึ่งแห่ง อาจเกี่ยวกับเจ้าอาวาสคนหนึ่ง
เป็นที่รู้กันว่า ที่ตั้งของวัด โบสถ์หรือวิหาร มีตาน้ำใต้ดินด้วยเสมอ ภายในบริเวณสวน จึงมีบ่อน้ำลึก น้ำจากตาน้ำใต้ดินไหลเข้าสู่บ่อ เป็นน้ำที่ใช้อุปโภคบริโภคของวัดแต่ละแห่ง. ส่วนใหญ่มักมีประติมากรรมประดับปากบ่อน้ำ เช่นที่โบสถ์เชลเตอร์นี้ มีกลุ่มประติมากรรมสัมฤทธิ์ เป็นชายหญิงคู่หนึ่งแต่มิใช่ชายหญิงคู่ใด. ที่นั่นต้องการเล่าชีวิตตอนหนึ่งของพระเยซู เมื่อพบหญิงชาวซามารีแตนที่บ่อน้ำ. นางไปวิดน้ำใช้ ตอนนั้นเที่ยงวัน แดดร้อน ไม่มีหญิงอื่นใดไปวิดน้ำใช้ในเวลานั้น (ทำให้มีการเจาะจงเป็นนัยๆว่า ที่นางต้องไปวิดน้ำใช้ ในเวลาที่คนอื่นไม่ไปกัน เพราะคนในหมู่บ้านไม่ค่อยชอบเธอนักด้วย). พระเยซูพูดขอน้ำดื่มสักแก้ว นางปลาบปลื้มยินดีและมอบน้ำให้แก่ชายแปลกหน้าที่พูดกับนางอย่างไม่รังเกียจ.
ขนบธรรมเนียมสมัยนั้น ผู้ชายไม่พูดกับผู้หญิง ยิ่งเป็นคนละเผ่ากันด้วย(พระเยซูมาจากเผ่าJudah) นางจึงปิติยินดี. พระเยซูบอกเธอว่า น้ำที่นางให้ดื่ม ยังไม่อาจทำให้คนหายกระหายได้อย่างเด็ดขาด แต่น้ำที่นางจะได้จากพระจิต เป็นสายน้ำบริสุทธิ์ เป็นน้ำแห่งชีวิตนิรันดร์ ดื่มแล้วนางจะไม่กระหายอีกเลย. นางฟังอย่างตั้งใจและตระหนักในบัดดลว่า ชายแปลกหน้าคนนี้คือพระมหาไถ่ที่ปวงประชารอคอยมาตลอดชีวิต. รูปปั้นเนรมิตขึ้นในความหมายนี้.
การเชื่อมทั้งสองเข้าด้วยกัน เพื่อสื่อนัยของการถ่ายทอดจิตวิญญาณ และในที่สุดนางเหมือนได้น้ำชำระล้างมลทินใดๆที่เคยมี อิ่มเอิบเบิกบานเป็นหญิงคนใหม่สะอาดบริสุทธิ์. เน้นเมตตาปรานีของพระเจ้าต่อทุกผู้ทุกนาม สรรพชีวิตเสมอภาคกันเบื้องหน้าพระเจ้า. (cf. Gospel of John, chapter 4)           

เห็นโลโก้ของโบสถ์เชสเตอร์ ชอบใจมาก สีสันสดใส รวมภาพลักษณ์หลากหลายทั้งแบบสถาปัตยกรรม พิธีกรรมศาสนา ความศรัทธา ดนตรี อาหารและน้ำชา อย่างครบวงจร. การจัดประกอบกันแบบนี้ ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงรูปลักษณ์ศิลปะเคลติคแบบหนึ่ง คือกำไรข้อมือที่ทำสำหรับคล้องเข้าบนแขน ไม่ทำเป็นวงกลมปิด แต่มีส่วนเปิดไว้. 
โลโก้โบสถ์เชสเตอร์ที่มีช่องว่างทางขวา เหมือนเปิดทางให้คนเข้าออกโบสถ์ได้อย่างอิสระเสรี. นับเป็นการออกแบบที่ครอบคลุมทุกความหมายและยืนยันพันธะสัญญาของโบสถ์แก่ชาวเมือง. (น่าคิดด้วยว่าไอร์แลนด์ก็ใช้ศิลปะเคลต์เป็นแบบสร้างโลโก้ของประเทศ เหมือนยืนยันความผูกพันกับบรรพบุรุษเคลต์ของพวกเขา)
 ตัวอย่างกำไรข้อมือตามแบบศิลปะเคลติค
     แต่โบราณกาลมา นิทานโบราณของชนเผ่าต่างๆ มีบทแทรกเล่าเรื่องราวและอุปนิสัยของสัตว์ชนิดต่างๆปนอยู่ด้วยเสมอ สัตว์สื่อสารพูดคุยกับคนเรื่อยมา การที่คนกับสัตว์เข้าใจกันได้ เพราะธรรมชาตินิสัยในส่วนลึกของสิ่งมีชีวิตอาจไม่แตกต่างกันมากนัก จนเมื่อคนเกิดฮึกเหิมสำนึกว่า ตนมีความคิด มีสติปัญญาเหนือกว่าและเอาชนะสัตว์ได้ จึงยกตัวยกตนขึ้นสูง ทำร้ายสัตว์ เอาเปรียบสัตว์ ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องกินสัตว์เป็นอาหาร ในที่สุดเหินห่างกันมากขึ้นและเข้าใจกันน้อยลง. ศีลธรรมศาสนามีส่วนช่วยยกระดับจิตใจคนและสอนให้แผ่เมตตาไปถึงสรรพชีวิต เพราะไม่ว่าคน สัตว์หรือพืชพรรณ รักชีวิต กลัวเจ็บและกลัวตายด้วยกันทั้งนั้น.
      ข้าพเจ้าไม่ติดใจนิทรรศการ Ark ที่เมืองเชสเตอร์มากนัก ออกจะผิดหวังด้วยซ้ำ หลายครั้งที่ตามไปดูประติมากรรมสมัยใหม่โดยเฉพาะผลงานของชาวอังกฤษ ดูแล้วไม่ปลื้ม ไม่ตรงกับจริตส่วนตัว (ยกเว้นผลงานของศิลปินเช่น Henri Moore, ของ Barbara Hepworth) เพราะข้าพเจ้าไม่เข้าใจวิญญาณสร้างสรรค์ของคนเหล่านั้นเพียงพอ. ขอแก้ตัวแบบน้ำขุ่นๆเหมือนคนทั่วไปว่า ไม่สามารถจับประเด็นเจาะจงว่าศิลปะที่ดีควรเป็นอย่างไรกันแน่ รู้เพียงว่าข้าพเจ้าชอบหรือไม่ชอบเมื่อเห็น. 
หากงานศิลป์ที่สร้างขึ้น ดูแล้วจบลงตรงนั้นเดี๋ยวนั้น ไม่จูงใจหรือต่อโยงใยไปยังสิ่งอื่นๆในโลกของคนดู มันคงไม่ทิ้งร่องรอยไว้ในความทรงจำ. แต่อะไรๆที่ข้าพเจ้าเคยชอบเคยติดใจ ไม่เลือนไปจากความทรงจำของผัสสะไปได้ ไม่ว่าวันเวลาจะล่วงเลยไปนานเพียงใด และไม่จำเป็นต้องเก็บภาพถ่ายของสถานที่นั้นมา. ภาพถ่ายเก็บบันทึกได้แค่สิ่งที่จับต้องได้เห็นได้ มิได้เก็บจิตวิญญาณของสถานที่ หากไปสถานที่ใด หากใครเข้าถึงจิตวิญญาณของสถานที่ได้(เหมือนได้ทำความรู้จักกับเจ้าที่) เขาจะจำทุกอย่างของที่นั้นได้ รวมสายลมแสงแดดและความสุข/ทุกข์ที่เขาได้สัมผัสจากที่นั่น. ส่วนคนที่จำอะไรไม่ได้เกี่ยวกับสถานที่ที่เคยไป ไม่ใช่เพราะความจำไม่ดีหรือเพราะสูงวัย แต่เพราะไม่ได้สัมผัส”สถานที่นั้นจริงๆ. เมื่อเหตุปัจจัยมาประจบกัน ความชอบความพอใจในอดีตก็กลับมาเสริมอรรถรสให้กับสิ่งใหม่ที่เพิ่งได้สัมผัส เช่นนี้สิ่งใหม่ๆที่เข้ามาก็ถูกจัดเข้าในห้องสมุดความทรงจำถาวรของผัสสะ พร้อมเป็นข้อมูลต่อไปไม่รู้จบสิ้น แม้เมื่อร่างปัจจุบันสลายลง ยังส่งผ่านไปยังชีวิตชาติภพใหม่ และนี่อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เข้าใจเรื่องการระลึกชาติได้.
      การตั้งชื่อผลงานของศิลปิน อาจจำเป็น เหมือนช่วยแนะวิธีมองและจับสารที่ศิลปินต้องการสื่อ โดยเฉพาะงานสร้างสรรค์สมัยใหม่ที่รูปลักษณ์มี เหมือนไม่มี เพราะอาจไม่เหมือนอะไรเลยที่คนดูรู้จักหรือคุ้นเคย หรือรูปลักษณ์ที่อาจคุ้นเคย ถูกนำไปสื่อสิ่งที่ไม่คุ้นเคยเป็นต้น เช่นตัวอย่างการตั้งชื่อประติมากรรม“ลิงกอริลลามองกระจก” ว่าเป็น The birth of consistency.
แนวโน้มในสังคมปัจจุบัน ผู้คนเลือกตั้งชื่อที่ฟังดูมีระดับ เชิญชวน ศักดิ์สิทธิ์ หรือประชดเหน็บแนมเพื่อเรียกความสนใจ. เหมือนที่ทุกคนตระหนักดีว่า การโฆษณาชวนเชื่อสำคัญมากเพียงใด ธุรกิจจะสำเร็จหรือล้มเหลว มิได้อยู่ที่“คุณภาพของสิ่งที่ต้องการขาย” แต่อยู่ที่การทำให้คนเชื่อว่าสิ่งที่คนจะซื้อไปคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขา. คนทุ่มเทสุดกำลังเพื่อทำให้คนเชื่อ นี่เป็นเป้าหมายแรกเป้าหมายเดียวในการตลาดหรือมิใช่. การตั้งชื่อเก๋ๆ ฟังแปลกน่าทึ่ง การรู้จักใช้ภาษาสำนวนเพื่อโน้มน้าวใจคน กลายเป็นประเด็นสำคัญที่สุดในยุคที่คุณภาพของสรรพสิ่งเกือบเสมอกันเพราะใช้วัสดุและเทคโนโลยีเหมือนๆกัน. เดี๋ยวนี้ ทุกเรื่องต้องประกาศประโคมไว้ก่อนว่า เรื่องนี้ดีที่สุด จริงที่สุด ทำให้ทุกคนมีความสุขที่สุด โชคดีที่สุด เก่งที่สุดฯลฯ  จนเหมือนดูถูกดูหมิ่นวุฒิภาวะของคนอ่านหรือคนฟัง แล้วคนพูดมีวุฒิภาวะเหนือกว่าทุกคนอย่างนั้นหรือ จึงเป็นผู้ตัดสินแทนทุกคน  ในที่สุดการตั้งชื่อ การโฆษณา กลายเป็นการหลอกลวงไม่มากก็น้อย. การไม่มีชื่อหรือข้อความกำกับใดๆ เป็นการเปิดให้คนดูหาคำตอบตามวุฒิภาวะของเขาเอง ที่อาจตรงหรือผิดไปจากความคิดสร้างสรรค์ของผู้ทำ ก็ไม่เป็นไร ประสบการณ์ในอนาคตจะกระชับความเข้าใจของเขาไปทีละเล็กทีละน้อย.
    สำหรับข้าพเจ้า งานศิลป์เหมือนคนแปลกหน้า หรือคนมาเสนอขายของที่หน้าบ้าน  ข้าพเจ้าเปิดประตูออกไปดู อยากรู้จักอะไรใหม่ๆที่ผ่านเข้ามาในแวดวงชีวิต เดินวนเดินเวียนดูสิ่งที่เขานำมา รอบสามร้อยหกสิบองศา สำรวจสิ่งแปลกใหม่ที่เขาเสนอ ใจอาจคิดถึงค่าของสิ่งนั้น สักพักอาจเดินกลับเข้าบ้าน หากคนแปลกหน้าไม่ตามมาหว่านล้อม เพราะไม่มีกำลังพอ หรือพูดไม่ออกอธิบายไม่ถูก หรือเพราะมีที่หมายอื่นที่สำคัญกว่า ข้าพเจ้าก็หยุดอยู่เพียงเท่านั้น ปิดประตูและลืมการพบปะครั้งนั้นไปในที่สุด.
      ผลงานศิลปะชั้นครู ไม่ต้องโฆษณา ไม่ต้องป่าวประกาศ เพราะงานนั้นมีอานุภาพเพียงพอที่เข้าจับจิตวิญญาณคนดู ทันทีหรือทีละเล็กทีละน้อย เป็นระลอกๆตามสัดส่วนของความเข้าใจและประสบการณ์การเรียนรู้ของแต่ละคน ที่อาจนำไป(หรือไม่) สู่วิญญาณสร้างสรรค์ของศิลปิน. การเข้าถึงแก่นของงานศิลป์ชิ้นหนึ่ง ต้องใช้เวลา ต้องดูแล้วดูอีก วนเวียนกลับไปสัมผัสอีก จนวันหนึ่งเกิดรู้แจ้งขึ้นเองว่า อ๋อ นั่นไงที่ศิลปินอยากจะบอก.
      คนเราชอบไม่เหมือนกัน แม้จะชอบสิ่งเดียวกัน ก็อาจชอบคนละแบบคนละมุมมอง แต่ละคนมีระดับการรับรู้สิ่งภายนอกตัวที่มากระทบต่างๆกันไป. ความคิดเฉพาะเจาะจงเรื่องหนึ่ง ที่แผ่ส่งต่อไปถึงบุคคลอีกคนหนึ่ง เหมือนการเดินทางของเสียงที่ก้องสะท้อนออกไปเป็นคลื่น กระจายเป็นรัศมีกว้างออกๆ บนเส้นทางนี้อาจรับ อาจกระทบคลื่นความถี่อื่นๆจากสิ่งอื่นๆไปด้วย คลื่นความถี่เดิมก็แปรเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ต่อๆไป. ประสบการณ์ของข้าพเจ้ากับศิลปะ เป็นไปตามเส้นทางนี้  

บันทึกความทรงจำของโชติรส โกวิทวัฒนพงศ์
เขียนไว้เมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๐.


สำนวน “แพะรับบาป” มาจากไหน เรื่องราวเป็นอย่างไร 
สำนวน “แพะรับบาป” แปลจากคำภาษาอังกฤษ scapegoat ปรากฏในคัมภีร์ Leviticus 16 (v.5 sq.) เมื่อพระเจ้ากำกับให้ชาวอิสราเอลปฏิบัติตามในพิธีถือบวชประจำปีชองชาวยิว (Day of Atonement) ดังนี้
ให้หัวหน้านักบวชนำแพะสองตัวมาเข้าพิธี ให้เป็นตัวแทนบาปทั้งหลายของหัวหน้านักบวชและของชาวอิสราเอล. มีแกะตัวผู้อีกหนึ่งตัว ที่จะถูกฆ่าและเผาสังเวยพระเจ้า. หัวหน้านักบวชจับสลากหาแพะตัวที่จะถูกฆ่าสังเวยเพื่อล้างบาปทั้งหลายของชาวอิสราเอลทั้งหมด แล้วเอาเลือดของแพะตัวนี้ไปชำระล้างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ภายในกระโจมที่ชุมนุมของชาวอิสราเอลและล้างแท่นบูชาพระเจ้า(v.20). หลังจากนั้น หัวหน้านักบวชวางมือลงบนหัวของแพะตัวที่ไม่ถูกฆ่า ตัวนั้นเป็นตัว“แพะรับบาป”. เขาประกาศสารภาพบาปทั้งหลายทั้งปวง ความเลวร้าย การทรยศหักหลังในหมู่ชาวอิสราเอล ให้บาปทั้งหลายที่เขาประนามผ่านจากตัวเขาลงสู่หัวของแพะ. ให้คนหนึ่งนำแพะไปปล่อยให้เร่ร่อนไปในทะเลทราย ไปในป่าดงพงไพร แพะจึงเหมือนแบกบาปทั้งหลายทั้งปวงบนตัวมันออกไปไกลจากชุมชนอิสราเอล (vv.21-22). ในเชิงสัญลักษณ์ แพะจึงกลายเป็นตัวบาปทั้งหลายและชาวอิสราเอลพ้นจากบาปที่เคยกระทำมา(v.10).
   ในมุมมองของศาสนาคริสต์ การตายของพระเยซูคริสต์ สะท้อนพิธีโบราณในหมู่ชาวอิสราเอล และเพราะพระเยซูคริสต์ยอมตนเป็นแพะรับบาป ทำให้การฆ่าสัตว์เพื่อสังเวยหรือแก้บาปยุติลง. ธรรมเนียมนี้เพื่อเน้นสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นตามมาหลังจากการเสียสละของพระคริสต์ และต้องมองไกลไปจากขนบโบราณของชาวอิสราเอล รวมทั้งให้เข้าใจว่าไม่ใช่แกะ แพะหรือสัตว์ใด ที่มาล้างบาปทั้งหลายของคนได้ การฆ่าสัตว์เพื่อการนี้จึงเปล่าประโยชน์ ให้หยุดทำ เพราะพระคริสต์ได้ไถ่บาปให้ทุกคนแล้ว. (Hebrews 10:3-4, 10). เช่นนี้ ชาวคริสต์พ้นจากบาปกำเนิด พ้นจากบาปที่เคยทำ แต่ในประวัติมนุษยชาติชนรุ่นใหม่ๆ ก็ยังคงทำบาปอีกเรื่อยๆในทุกเรื่องตามธรรมชาตินิสัยของมนุษย์. โดยปริยาย การไถ่บาปของพระคริสต์จึงไม่รวมถึงบาปที่ทำต่อๆมา เพราะฉะนั้นเมื่อตายไป ก็ต้องถูกพิพากษาลงโทษตามความผิด. พระเยซูคริสต์ได้ให้โอกาสแก่ชาวคริสต์ให้เกิดใหม่บริสุทธิ์ไร้บาปตามกระบวนการของพิธีกรรมทางศาสนา แต่ไม่ใช่ทุกคนที่สำนึกรู้คุณและฉวยโอกาสนั้น (เป็นคริสต์ศาสนิกที่ดี).
    ในคติพุทธ ไม่มีใครทำลายบาปของคนอื่นหรือแม้แต่ของตัวเอง ต้องรับผลแห่งการกระทำของตนเอง จึงเตือนมิให้ประมาทและเตรียมตนเพื่อชดใช้บาปที่เคยทำ กับเร่งให้ทำความดีอย่างสม่ำเสมอ. บุญกุศลที่ทำ อาจทำให้จิตใจเปิดกว้างยอมรับ มองดูความผิดพลาดเก่าๆเป็นทางสู่การกระชับศีลธรรมมากขึ้นๆ แทนการพยายาม“ล้าง”บาป.
 

จิตรกรรมโมเสกชุดนี้ เล่าเหตุการณ์สำคัญในชีวิตของอับราฮัม ถือว่าเป็นบรรพบุรุษของพระเยซูและโดยปริยายของมนุษยชาติ ตามชื่อที่แปลว่า“บิดาของชนหลายชาติ”. ยาเว(ชาวยิวเรียกพระเจ้า ดังปรากฏในคัมภีร์เก่า) ต้องการทดสอบความเชื่อของอับราฮัม มาบอกให้อับราฮัมพาไอแซ็คลูกชายคนเล็กที่เกิดกับภรรยาชื่อ Sarah เมื่อเขาอายุ 100 ปี. ไปเผาสังเวยพระเจ้าบนเขา Moriah (Genesis 22). อับราฮัมทำตามโดยไม่พูดอะไรเลย เขาสั่งให้ลูกชายแบกท่อนฟืนทั้งหลายเพื่อไปก่อกองไฟบนเขา. ตามคำจารึกที่ประกอบใต้จิตรกรรมโมเสกเป็นข้อความว่า AND ABRAHAM SAID MY SON GOD WILL PROVIDE HIMSELF A LAMB FOR A BURNT OFFERING. ไอแซ็คคงถามพ่อว่า ทำไมไม่จูงแพะหรือแกะขึ้นเขาไปด้วย. ตามขนบยิว การสังเวยพระเจ้าคือการฆ่าสัตว์สังเวย. อับราฮัมตอบว่า พระเจ้าหาลูกแกะที่จะถูกสังเวยเอง. ในภาพด้านซ้ายมือ อับราฮัมได้มัดลูกชาย ให้นั่งเหนือกองฟืน ยกมือที่ถือมีดพร้าพร้อมจะฟันลงที่คอไอแซ็ค. เทวทูตมายึดแขนไว้ มีดหล่นจากมืออับราฮัม เทวทูตอีกผู้หนึ่ง(ในมุมขวาของภาพนี้) ชี้ไปที่แกะตัวผู้ที่มีเขาติดอยู่ในกิ่งไม้. ในที่สุดอับราฮัมฆ่าแกะสังเวยแทน. ยาเวเห็นแล้วว่าอับราฮัมเป็นผู้เชื่อฟังโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ. พระเจ้าประทานพรให้ว่าเขาจะมีผู้สืบสกุลนับไม่ถ้วน. เหนือภาพเหตุการณ์ของอับราฮัม ตรงกลางมีภาพกษัตริย์นักบวชกำกับชื่อว่า MELCHIZEDEK(กษัตริย์แห่ง Salem และเป็นหัวหน้าสูงสุดของวัด ได้ให้ศีลให้พรอับราฮัมที่ไปรบศึกกลับมา เลี้ยงดูให้ขนมปังและไวน์) เทวทูตสองข้างถือแผ่นจารึกข้อความ(จากซ้ายไปขวา)ว่า  MELCHIZEDEK KING OF SALEM และด้านขวา BLESSED ABRAHAM. (อ่านรายละเอียดต่อไปใน Genesis 14:18)

      ภาพด้านขวาเล่าการตายของซาราห์ เมื่ออายุ 127 ปี ดังเจาะจงไว้ในคัมภีร์เก่า. คำจารึกที่กำกับใต้ภาพว่า AND AFTER THIS ABRAHAM BURIED SARAH HIS WIFE IN THE CAVE OF THE FIELD OF MACHPELAH. อับราฮัมได้ซื้อที่ดินแถบนั้นไว้เพื่อให้เป็นสุสานของซาราห์ แสดงความรู้สึกที่เขามีต่อนางผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเขามานาน. Sarah เดิมชื่อ Sarai แปลว่า เจ้าหญิงหรือผู้มีสกุลสูง เธอจึงมาจากชนชั้นสูง มีอายุน้อยกว่าอับราฮัมราวสิบปี เป็นคนสวยมาก สวยจนอับราฮัมกลัวว่าผู้มีอำนาจใดที่เห็นเธอจะชิงเธอไป หลายครั้งทำให้อับราฮัมบอกคนอื่นๆว่าซาราห์เป็นน้องสาว
แม้แต่งงานอยู่กินกันมานาน จนอับราฮัมอายุ 99 ปี ซาราห์อายุ 89 ปีก็ยังไม่มีลูก. ปีนั้นมีชายแปลกหน้าสามคนผ่านมาที่บ้านอับราฮัม คนหนึ่งบอกอับราฮัมว่าเวลานี้ปีถัดไป ซาราห์จะคลอดบุตรชาย. ซาราห์แอบได้ยินก็หัวเราะ สูงวัยเช่นนั้นมีลูกได้อย่างไร แต่การณ์เป็นเช่นนั้นจริง. ไอแซ็คเกิดเมื่ออับราฮัมอายุ 100 ปี ชื่อไอแซ็คแปลว่“หัวเราะ”(เพราะแม่หัวเราะขบขันที่มีคนบอกว่านางจะตั้งท้อง). ภาพตอนบนเหนือเนื้อหาการตายของ Sarah มีเทวทูตสองข้างภาพสตรีที่กำกับชื่อว่า Sarah  เทวทูตถือแผ่นจารึกข้อความจากซ้ายไปขวาว่า THOU SHALL NOT CALL HER SARAI และบนกระดาษด้านขวา มีข้อความต่อว่า BUT SARAH SHALL HER NAME BE. เจาะจงว่ายาเวต้องการให้นางเปลี่ยนชื่อ อับราฮัมและซาราห์ทำตามพระประสงค์.
     เรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิลทั้งเก่าและใหม่ เล่าปฏิสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดระหว่างพระเจ้ากับคนเดินดิน ทุกเหตุการณ์สะท้อนชีวิตจิตใจทุกแบบทุกสถานะของความเป็นคน มีเนื้อหาหลากหลายมาก เป็นบ่อทองรวมเนื้อหา บทอุปมาอุปมัย ภาษาสำนวนที่นำไปสร้างวรรณกรรมต่อๆไปได้ไม่สิ้นสุด. คัมภีร์จึงเป็นหนังสือที่สมบูรณ์ที่สุดเล่มแรก(และเกือบเป็นเล่มเดียว)ที่ปัญญาชนตะวันตกอ่านเป็นพื้นฐานของการศึกษา. การอ่านคัมภีร์ไม่เกี่ยวกับความเชื่อในศาสนา จะเชื่อหรือไม่ ไม่ใช่ประเด็น คนอาจอ่านเรื่อยๆสนุกๆ  อ่านเพื่อเรียนภาษา อ่านเพื่อจับประเด็น อ่านให้เห็นสัจธรรมฯลฯ ใครอ่าน ก็ได้อะไรติดตัวไปแน่นอน ไม่มากก็น้อย.

------------------------------------
ไหนๆก็อยู่ในโหมดและมู้ดอังกฤษ จึงชวนไปเดินชมสวนประติมากรรมอีกแห่งหนึ่งที่รวมผลงานของ Henri Moore โดยเฉพาะ >>

No comments:

Post a Comment