Saturday 2 September 2017

ชมภูมิทัศน์ มองวิสัยทัศน์ที่ Castle Howard

หนึ่งในคฤหาสน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอังกฤษคือ Castle Howard [ค้าเซิล ฮาเหวิด] พร้อมอุทยานภูมิทัศน์ที่เป็นหน้าเป็นตา เป็นตัวอย่างของอุทยานแบบอังกฤษที่หาที่เปรียบหรือเทียบเคียงได้ยาก  บนพื้นที่ทั้งหมดกว่าหนึ่งพันเอเครอ. อยู่ทางเหนือห่างจากเมือง York ราว 24 กิโลเมตร. ครั้งนี้ข้าพเจ้าไปพักที่เมือง York สามคืน. จากหน้าสถานีรถไฟเมือง York เดินไปทางซ้ายมือบนถนนที่ลาดลงไปยังถนน Leeman Road. รถเมล์จาก Stop RM พาตรงไปถึงประตูทางเข้าที่ซื้อตั๋วของคฤหาสน์เลย. เป็นบริการรถสาธารณะที่สุดยอดที่สุดเมื่อเทียบกับการไปชมคฤหาสน์หรืออุทยานอื่นใด ที่ไม่สะดวกนักหากไม่ไปรถส่วนตัวหรือเช่ารถไป. เนื่องจากการชมอุทยานหรือคฤหาสน์ใช้เวลามาก ต้องไปรถเที่ยว 9:00 นาฬิกาหรือเที่ยว 10:50 นาฬิกา และกลับเที่ยวสุดท้ายจากที่นั่นเวลา 16:45 นาฬิกา. จริงๆแล้วเวลาเท่านี้ ดูได้อย่างผิวเผินเท่านั้น แต่ข้าพเจ้าเคยไปแล้ว สนใจเดินชมภูมิประเทศมากกว่าเข้าไปในคฤหาสน์ จึงตัดการเข้าชมคฤหาสน์ออกไป เดินสบายๆไม่รีบร้อน  หยุดกินอาหารตอนบ่ายสามในร้านอาหารของที่นั่น. เดินเพียงสวนบนเส้นทางใหญ่ๆ ไม่ผ่านเข้าพื้นที่ป่า(woodland) หรือ Ray Wood เพราะกลัวจะออกมาไม่ทันรถเที่ยวสุดท้ายที่พากลับไปยัง York.
เชิญชมภาพบนเส้นทางเดินของข้าพเจ้าเมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๖๐.
 
ถนนใหญ่เข้าสู่อาณาเขตของ Castle Howard พื้นที่เป็นเนินลูกคลื่นเล็กน้อย
ภาพจาก Geograph.org.uk
สุดทางตอนบนของภาพ เห็นคอลัมภ์กึ่งกลางประตูโค้งครึ่งวงกลม 
คือส่วนหนึ่งของ The Great Obelisk
 The Great Obelisk มองจากภายในสวนสู่ทางออก
แวะเข้าไปดู walled garden ดังภาพข้างล่างนี้
กำแพงยาวกั้นพื้นที่ทางขวาของภาพที่เป็นสวนดอกไม้ภายในรั้ว
หรือ Walled Garden เนรมิตขึ้นในต้นศตวรรษที่18
แปลงดอกไม้(flower bed) ติดกำแพงรั้วด้านนอก เป็น border ชนิดหนึ่ง 
ปลูกพืชประเภทลำต้นอ่อน (herbaceous) เปลี่ยนไปตามฤดูกาล
 แปลงดอกไม้ติดรั้วปลูกเป็นแนวตรงเรียบร้อย ส่วนพันธุ์ไม้เลื้อยให้เกาะบนกำแพงเลย
 ภายในสวน แปลงดอกไม้จัดแบ่งเป็นรูปเรขาคณิต รูปเหลี่ยม แหลมหรือกลม 
ใช้ต้น box ปลูกเป็นขอบเตี้ยๆคั่นพื้นที่แต่ละส่วน แต่ละแปลงปลูกไม้ดอกตามฤดูกาล 
พุ่มไม้ก็ตัดเป็นรูปทรงเรขาคณิตด้วย นี่เป็นตัวอย่างของ formal walled garden
จิ้วต้นไม้(hedge)ที่ตัดเล็มให้สูงเสมอกันเป็นกำแพงยาว แบ่งพื้นที่สวนเหมือนแบ่งพื้นที่บ้านเป็นห้องๆ สำหรับการจัดสวนที่ต่างกัน มีสวนดอกไม้ สวนกุหลาบและสวนผักประดับ หรือเพื่อเป็นฉากสำหรับตั้งประติมากรรม ดังภาพข้างบน ที่น่าจะเป็นรูปปั้นเหมือนของ George Howard, 7th Earl of Carlisle. (ไม่ยืนยันเพราะหาข้อมูลไม่ได้).  
ดั้งเดิมในต้นศตวรรษที่18 พื้นที่ภายในรั้วนี้เป็นสวนครัว ปัจจุบันก็ยังมีส่วนหนึ่งที่เป็นสวนครัวและสวนไม้ตัดดอก ส่วนอื่นๆเปลี่ยนเป็นสวนกุหลาบเพื่อเป็นอนุสรณ์ความทรงจำถึง Lady Cecilia Howard.
 ส่วนหนึ่งของสวนที่อาจเรียกว่า Sundial Garden เป็นสวนผักประดับ
ที่รวมผัก ผลไม้และดอกไม้ ประกอบกันอย่างสวยงาม ตามแบบสวนครัวฝรั่งเศส
ตอนที่ไปไม่เห็นผักผลไม้ใด (French kitchen garden หรือ Potager)
นาฬิกาแดด(sundial)ดูเหมือนจะเป็นองค์ประกอบสวนที่ขาดไม่ได้ เพราะสวนคือภาพลักษณ์ของกาลเวลาที่ชัดเจนที่สุด. นาฬิกาแดดเป็นเนรมิตศิลป์แบบหนึ่ง มีหลากหลายแบบตามจินตนาการของผู้ประดิษฐ์  แต่เดิมอาจบอกเวลาได้ใกล้เคียง ปัจจุบันยังบอกเวลาได้อีกไหม ต้องดูเป็น อีกประการหนึ่งแกนโลกได้เบี่ยงเบนผิดไปเรื่อยๆจากปีที่ทำขึ้น. แผ่นโลหะที่เป็นฐานแต่เดิมจำหลักเส้นรอบวง กำกับวงจรเวลาไว้ บางแห่งกำกับทิศทางและชื่อเมืองสำคัญๆไว้ด้วย รายละเอียดส่วนใหญ่เลือนหายไปแล้ว. 
แต่โบราณมาแล้ว ปราชญ์ทั้งหลายหมกมุ่นครุ่นคิดเรื่อง “เวลา” จะจำกัดความอย่างไร เริ่มขึ้นจบลงที่ไหน หายไปไหน จิตใจคนเป็นผู้กำหนดความสั้นยาวของเวลาหรือเปล่าฯลฯ จนเดี๋ยวนี้ เวลาก็ยังเป็นสมมติฐานที่ตั้งขึ้นเพื่อความสะดวกในการใช้ชีวิตร่วมกันบนโลกใบเดียวกัน. ทุกคนยอมรับโดยไม่คิดแล้วว่า ทุกอย่างมี “เวลา” ของมัน และหยุดมันไม่ได้. สิ่งเดียวที่ทำได้ คือ “ใช้”เวลาให้ดีที่สุด เพราะฉะนั้นเมื่อ “ให้” เวลาแก่ใคร เวลาที่ให้ไปจึงมีค่าเหนือทรัพย์สินใดๆ เพราะเป็นสิ่งที่หามาเพิ่มไม่ได้ ถึงกระนั้นก็มีความพยายามในการยืดชีวิต อยากต่อเวลาไปเรื่อยๆ. 
ประตูหนึ่งของสวน
 เดินเข้าไปใกล้ๆ ดูต้นกุหลาบเลื้อย
ประกาศไว้ว่าสวนกุหลาบที่นี่มีมากกว่าสองพันสายพันธุ์ 
มิถุนายน ไม่ใช่เดือนที่กุหลาบเฉิดฉายนักในอังกฤษ
รูปปั้นวีนัสตั้งตรงกลางสวนกุหลาบ เรียกสวนวีนัสก็ได้ (Venus Garden) รูปปั้นวีนัสในท่านี้เจาะจงเรียกกันว่า Venus de Medici เพื่อโยงไปถึงรูปปั้นวีนัสหินอ่อนที่ขึ้นชื่อว่าสวยงามมากที่เคยประดับอยู่ที่ Villa Medici กรุงโรม ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ในหอศิลป์ Galleria degli Uffizi เมืองฟลอเรนซ์. รู้กันดีว่า มีผู้เนรมิตรูปปั้นวีนัสในท่าต่างๆกันหลายท่า แต่ละท่ามีต้นแบบ ชื่อที่ต่อท้ายวีนัส จึงบอกต้นแบบเคยประดับอยู่ที่ใด.

รูปปั้นชื่อว่า Lo Spinario บนเส้นทางเดิน Lime Walk
(เส้นทางเดินในหมู่ต้น Lime หรือ Linden หรือ Tilleul ดอกหอมอ่อนๆ)
Lo Spinario เป็นคำภาษาอิตาเลียน แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า Boy pulling a thorn from his foot เด็กเลี้ยงแกะในท่ากำลังดึงหนามที่ตำเท้าออก. รูปปั้นดั้งเดิมที่เก่าที่สุดที่สืบสาวไปถึง เป็นหินอ่อนจากกรีซ อยู่ในราวสามศตวรรษก่อนคริสตกาลที่หายสาบสูญไป ต่อมาพบรูปปั้นหินอ่อนโรมันที่ลอกเลียนแบบกรีกและเนรมิตขึ้นระหว่างปีคศ. 25-50. รูปปั้นในท่านี้ เป็นรูปปั้นศิลปะกรีกโรมันที่มีการสร้างลอกเลียนแบบมากที่สุดรูปปั้นหนึ่งในประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตก และมักหล่อเป็นรูปปั้นทองสัมฤทธิ์. เราจึงเห็นรูปปั้นในท่านี้ทั่วไปตามพระราชวังหรือวิลลา และก็เป็นรูปปั้นยอดนิยมสำหรับประดับสวนด้วย.
สวนอีกหย่อมหนึ่งภายใน walled garden มีสระน้ำกลม ประดับด้วยรูปปั้นเด็กอุ้มปลาตัวหนึ่ง. เด็กชายตัวกลมๆป้อมๆติดปีก(หรือไม่ก็ได้)เหมือนเทวดา cherub หรือคิวปิด cupid ตัวน้อยๆแบบนี้ เป็นรูปลักษณ์หนึ่งในศิลปะเรอแนสซ็องส์ ในภาษาศิลปะเรียกตามคำอิตาเลียนว่า Putto [ปุ๊ดโตะ] (เอกพจน์) และ Putti [ปุ๊ดติ] (พหูพจน์). แตกต่างจากเทวทูตในศาสนาคริสต์ (cherub/cherubim) ที่มีปีกหลายคู่และถือว่าเป็นการปรากฏตัวที่ศักดิ์สิทธิ์. ส่วน putti ในโลกศิลปะ แทนความรักความปิติยินดีของสามัญชน. หากสืบคำนี้ย้อนไปยังรากศัพท์ indo-european คำนี้ตรงกับคำสันสกฤตที่มาเป็นคำไทยว่า บุตร นั่นเอง
รูปปั้น putto ประดับและปิดท่อน้ำไหล เป็นแบบที่นิยมกันมาก
รูปปั้นของ putti ที่สร้างขึ้นประดับสวน มักแสดงท่าสนุกซุกซนของเด็กๆ
 อาคารที่เห็นคือ The Gardener’s House
 ม้านั่งสีขาวธรรมดาๆตัวหนึ่งเมื่อจัดวางในตำแหน่งที่เหมาะเจาะ
กลายเป็นจุดโฟกัส จุดดึงสายตา (eyecatcher) สร้างความงามสมดุล
 มองคฤหาสน์จากด้านทิศใต้  ตามยุคสมัย เดี๋ยวนี้เขาสร้างกรอบถ่ายรูปไว้ให้เลย
 มองคฤหาสน์จากบริเวณน้ำพุ Atlas Fountain
 Atlas Fountain ผลงานประติมากรรมของ John Thomas
เป็นสิ่งที่เด่นขึ้นหน้าขึ้นตาที่สุดในอุทยาน Castle Howard
สถาปัตยกรรมน้ำพุแอ๊ตลาซนี้ ได้รับการจัดเข้ารายการอาคารสถาปัตยกรรมอันดับหนึ่งตั้งแต่ปี1987 และขึ้นทะเบียนเป็นมรดกของชาติตั้งแต่ปี2012. กลุ่มสถาปัตยกรรมน้ำพุและสระน้ำนี้ สร้างขึ้นในปี1850 และได้นำออกโชว์ในงานมหกรรมโลก (ที่มีชื่อเต็มว่า The Great Exhibition of the Works of Industry of All Nations หรือที่เรียกกันสั้นๆว่า The Great Exhibition ที่จัดขึ้นในอาคาร Crystal Palace (ปัจจุบันอาคารกระจกเรือนมหึมาชื่อนี้ไม่มีแล้ว) ใน Hyde Park กรุงลอนดอน. มหกรรมปี1851 พระราชินีวิคทอเรียเสด็จไปเปิดงาน. เป็นงานมหกรรมนานาชาติครั้งแรกของโลก นำเสนอผลิตภัณฑ์และประดิษฐกรรมต่างๆที่เป็นความมหัศจรรย์ของอุตสาหกรรม (ที่เริ่มพัฒนาอย่างรวดเร็วหลังจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมที่เริ่มขึ้นในอังกฤษในราวปี1760 และสืบต่อเนื่องมาจนถึงต้นศตวรรษที่19. Henry Cole และเจ้าชายอัลเบิร์ตเป็นผู้บริหารจัดงานมหกรรมอันมเหาฬารนี้. สถาปัตยกรรมน้ำพุและสระน้ำนี้ ได้ไปแสดงเปิดตัวที่งานมหกรรมก่อน แล้วจึงนำมาติดตั้งที่ Castle Howard ณ ตำแหน่งที่เห็นจนถึงทุกวันนี้. เป็นผลงานการออกแบบของ William Andrews Nesfield รูปปั้นทั้งหลายเป็นหิน Portland stone ฝีมือการจำหลักของ John Thomas. อ่างน้ำเล็กรูปลักษณ์เหมือนพานหรือชามขนาดใหญ่ (tazza), ฐานตั้งรูปปั้น (pedestal), เปลือกหอย (shells) และสระน้ำใหญ่ (basin) เป็นผลงานของนายช่างฝีมือชาวท้องถิ่น. James Easton เป็นผู้ติดตั้งระบบวิศวกรรมน้ำ ด้วยการทำทางน้ำไหลมาจากธารน้ำหนึ่งใน Coneysthorpe และใช้เครื่องจักรไอน้ำปั๊มน้ำขึ้นไปเก็บในอ่างเก็บน้ำบนเนินเขา Ray Wood ภายในบริเวณป่าของ Castle Howard. เปิดน้ำพุเป็นครั้งแรกในเดือนตุลาคมปี1853. ในปี1983 และต่อมาในปี2012 มีการซ่อมแซมบูรณะสองครั้งสำคัญ ระบบน้ำพุยังใช้ได้เต็มศักยภาพมาจนทุกวันนี้ ดังภาพที่ข้าพเจ้าเดินทางไปถ่ายมาเอง.
เจ้าของภาพกำกับไว้ว่า Clanger’s England จาก flickr.com
กลุ่มประติมากรรม Atlas Fountain ประกอบด้วยฐานทรงกลมที่ยกสูงขึ้นเหนือชามกลมตื้นๆ (ชามที่เหมือนพานดอกไม้ tazza) ตั้งตรงกลางสระน้ำใหญ่ที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 27 เมตร. รูปปั้น Atlas จำหลักพร้อมผ้าผืนยาวคลุมตัวตามแบบเสื้อคลุมหลวมๆที่ชาวกรีกโบราณสวมใส่ ก้มหน้าลง หัวเข่าซ้ายจรดพื้น หัวเข่าขวาตั้งฉากในท่ากำลังลุกขึ้นยืน  มีลูกกลมๆ(globe หลีกเลี่ยงใช้คำว่าลูกโลก) ทองสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่บนบ่า สองมือยกขึ้นเหนือหัวประคองลูกกลมๆนั้นไว้ ท่าดังกล่าวบอกให้รู้ว่ามันหนักมาก. ตรงขั้วบนของลูกกลม มีท่อส่งน้ำพุ่งตรงขึ้นในอากาศ  เห็นเส้นรอบวงตรงกลางลูกกลม ที่รวมสิบสองสัญลักษณ์ของจักรราศี แต่ละสัญลักษณ์มีช่องให้น้ำไหลออกมาจากภายใน. ใต้พานหรือชามน้ำใหญ่ ประดับด้วยเปลือกหอยเชลล์ขนาดใหญ่หงายขึ้น ทำเป็นสระน้ำพุเล็กๆด้วย สลับกับรูปปั้น Tritons สี่ตน กำลังเป่าน้ำออกจากเปลือกหอยรูปทรงยาวงอนเล็กน้อย(conch shell) ภายในแตรเปลือกหอยมีท่อน้ำซ่อนอยู่ เป็นสายน้ำที่ไหลแรงพุ่งตรงขึ้นสูงถึงลูกกลม. ระบบน้ำพุนี้ใช้มวลน้ำที่เก็บไว้ในอ่างเก็บน้ำ Ray Wood reservoir ประมาณห้าแสนแกลลอน แรงศูนย์ถ่วงทำให้มวลน้ำไหลไปรวมอยู่ในห้องเก็บน้ำใต้สระน้ำแอ๊ตลาซและส่งต่อไปตามท่อที่ติดตั้งบนประติมากรรมทุกส่วนทุกมุม.
เมื่อมองดูประติมากรรมแอ๊ตลาซ ทุกคนนึกทันทีว่า แอ๊ตลาซแบกโลกไว้บนบ่า ในความเป็นจริง ลูกกลมๆที่เหมือนลูกโลกนั้น มิได้หมายถึงโลก (planet) Earth แต่คือภาพลักษณ์ของท้องฟ้า มีดวงดาวเป็นกลุ่มจักรราศีที่จำหลักและเจาะจงให้รู้อย่างชัดเจน. Atlas เป็นเทพเจ้าแห่งดาราศาสตร์และการเดินเรือ.  
ในเทพปกรณัมกรีก เหล่าเทพ Titans [ไท้เถิ่น] เป็นใหญ่ในจักรวาล ยุคนั้น Uranus เป็นเทพบดีครองจักรวาล มีภรรยาชื่อ Gaia. Uranus ออกจะโหดร้าย ขนาดสั่งจองจำลูกของตัวเอง Gaia ผู้เป็นแม่โมโหโกรธามากและคิดแก้แค้นสามี ด้วยการยุให้ลูกช่วยกันจับพ่อตอน. Cronus ลูกคนเดียวที่ร่วมมือกับแม่และจับพ่อตอนได้สำเร็จ. เลือดของ Uranus ที่ตกลงบนพื้นโลก เกิดเชื้อสายสืบต่อมาสามสาย (Gigantes. Erinyes และ Maliae). ส่วนเลือดของ Uranus ที่ตกลงในทะเล เกิดเป็นเทวี Aphrodite. Uranus สาปแช่ง Cronus ว่า จะถูกลูกของตัวเองปราบและสยบหมดทางสู้เช่นกัน. Cronus ขึ้นเป็นเทพบดีแต่ใจหวั่นๆคำสาปแช่งของพ่อ ความกลัวเสียบัลลังก์ทำให้เขากลายเป็นคนโหดเหี้ยมไร้หัวใจเหมือนพ่อถึงกับกินลูกของตัวเอง. Rhea ภรรยาของ Cronus แอบช่วยชีวิต Zeus ลูกคนเล็กของนางไว้ ด้วยการพาไปซ่อนในถ้ำหนึ่งบนเกาะ Crete ที่นั่นมีแพะ Amalthea เป็นผู้เลี้ยงดู Zeus. เมื่อ Zeus โตขึ้นได้เข้าไปรับใช้พ่อในวังโดยพ่อไม่รู้ว่าเป็นลูก. Zeus ทำหน้าที่เป็นผู้บริการเครื่องดื่ม ได้ร่วมมือกับเทวี Metis (เทพTitanผู้หนึ่ง) ผสมไวน์กับมัสตาร์ดให้ Cronus ดื่ม. Cronus ดื่มแล้วอาเจียรไม่หยุด ได้ขากลูกทั้งหลายที่ Cronus เคยกลืนกินเข้าไปออกมาทีละคนๆจนครบ. Zeus เกลี้ยกล่อมพี่ๆให้ร่วมกันปฏิวัติล้มอำนาจพ่อ. จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการสู้รบ (The war of the Titans หรือTitanomachy) ระหว่างเหล่า Titans กับฝ่าย Zeus (ที่มี Themis และ Prometheus ผละจากฝ่าย Titans มาร่วมข้าง และพากันไปตั้งหลักบนเขา Olympus รบชัยชนะเหล่า Titans ได้อย่างเด็ดขาดและจองจำ Titans ทั้งหมด. Zeus กับพี่สองคน Poseidon และ Hades ตกลงแบ่งจักรวาลด้วยการจับสลาก. Zeus ได้เป็นเจ้าผู้ครองท้องฟ้าและปกครองทวยเทพกับสรรพชีวิตที่รู้ตาย(mortals). Poseidon เป็นจ้าวแห่งน่านน้ำมหาสมุทร และ Hades กลายเป็นเจ้าครองโลกใต้พิภพ. ตำนานเทพกรีกจึงเริ่มศักราชใหม่กับทวยเทพที่สถิตย์บนเขาโอลิมปัส.
     เมื่อ Prometheus หันไปช่วยฝ่าย Zeus, Atlas ยังคงอยู่ในฝ่ายTitans ที่เป็นฝ่ายแพ้ จึงถูก Zeus ลงโทษให้แบกท้องฟ้า(Uranus) ไปประจำด้านทิศตะวันตก. ชื่อที่โยงไปถึง Atlas บนโลกเรานี้ เช่น Atlantic Ocean หมายถึง Sea of Atlas ส่วน Atlantis หมายถึง Island of Atlas.
    ส่วนTriton [ไทร้เทิ่น] เป็นบุตรของเทพเจ้าและเทพเทวีแห่งทะเล (Poseidon กับ Amphitrite) มีลำตัวเป็นมนุษย์และมีหางเป็นปลา. Triton เป็นผู้นำสาร messenger ในทะเล. เมื่อเป่าแตรหอย เสียงแตรทำให้คลื่นน้ำทะเลปั่นป่วนยกตัวขึ้นหรือสงบลงได้ตามต้องการ. เช่นนี้ Triton จึงมาเป็นแบบประดับที่เหมาะกับสถาปัตยกรรมน้ำพุของสวนและอุทยาน.
เดินตรงต่อไปจากกลุ่มสถาปัตยกรรมน้ำพุ ยังมีพื้นที่สนามหญ้า จิ้วต้นไม้ตัดเรียบสวยงามไปจนสุดเขตสวน มีรูปปั้นประดับเป็นระยะๆ เป็นรูปปั้นตะกั่วทั้งหมด18รูป ในพื้นที่ Castle Howard. สุดพรมแดนสวนด้านนี้ เห็นอาณาบริเวณกว้างใหญ่ทอดออกไปไกลสุดสายตา. การบริหารพื้นที่ให้ราบเตียนและโล่งแม้พื้นดินต่างระดับกัน ไม่ให้มีอะไรขวางมุมมอง ทั้งกำแพงที่กำหนดเขตสวนก็เป็นแบบโปร่งและเตี้ยๆ จึงเท่ากับรวมพื้นที่นอกอาณาเขตเข้ามาเป็นทิวทัศน์ของสวนด้วย หรือให้ภูมิทัศน์ขยายออกไปไกลถึงสุดขอบฟ้า. เมื่อเทียบกับแบบการปลูกสวนสมัยก่อนๆ ที่มีรั้วรอบขอบชิด ปิดทุกด้านเพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้เป็นเจ้าของสวน แต่ปลายศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา วิธีการสร้างสวนพลิกเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เมื่อ Lancelot "Capability" Brown (1715-1783) ได้ออกแบบสวนภูมิทัศน์ ที่จักเป็นแบบสวนที่รุ่งโรจน์ที่สุดในประวัติศาสตร์สวนของโลก. ดังภาพข้างล่างนี้
ไกลออกไปทางซ้ายมือ เห็นอาคารทรงปิรามิดที่เป็นอีกองค์ประกอบของสวน สร้างขึ้นในปี1728 ผลงานของ Hawksmoor. ภายในโล่ง ไม่มีอะไรอื่นนอกจากรูปปั้นมหึมาของ Lord William Howard ต้นตระกูลของสาย Carlisle branch of Howard family. มองตรงไปข้างหน้า ชนบทไกลสุดสายตา เหมือนถูกเจียนเนียนเป็นระดับเดียวกันและกลายเป็นส่วนหนึ่งของภูมิทัศน์สวนของ Castle Howard หรือเปรียบได้ว่าชนบททั้งหมดมอบตัวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ Castle Howard.
สังเกตจิ้วต้นไม้ที่ตัดอย่างเป็นระเบียบ. รูปปั้น Hercules กับ Antaeus กำลังปล้ำสู้กันอย่างอุตลุด ตามตำนานที่เล่าไว้ว่า Hercules ต้องฆ่า Antaeus ก่อนจึงผ่านเข้าไปในสวนของเหล่า Hesperides ได้เพื่อเด็ดลูกแอปเปิลทอง. Antaeus เป็นลูกชายของ Poseidon กับ Gaia ตัวใหญ่กำยำครึ่งยักษ์ครึ่งเทพ ผู้ได้พรพิเศษว่าตราบใดที่เท้าเหยียบพื้นเหยียบแผ่นดิน (แม่ Gaia คือแม่พระธรณีผู้คุ้มครองเขานั่นเอง) จะไม่มีผู้ใดปลิดชีวิตเขาได้. Hercules ต้องหาอุบายเอาชนะเขาด้วยวิธีอื่นที่ไม่ใช่การกระโจนเข้าปล้ำให้เขาล้มลง แต่ด้วยการยกทั้งร่างของ Antaeus ขึ้นเหนือพื้น จึงปลิดชีวิตของเขาได้สำเร็จ. การต่อสู้ของคนคู่นี้เป็นเนื้อหายอดนิยมในศิลปะยุคโบราณและยุคเรอแนสซ็องส์โดยเฉพาะที่พัฒนาและฟื้นฟูศิลปะการสร้างสรีระของคนอย่างละเอียดโดยไม่ทิ้งมุมมองทางปรัชญาและขนบประเพณี. นำภาพจากที่อื่นมาประกอบให้ดู.
รูปปั้น Hercules wrestling Antaeus นี้อยู่ที่ Studley Royal Park
ทางเหนือของ Yorkshire เป็นอุทยานที่ได้ขึ้นทะเบียนมรดกโลก.
ภาพของ Terry Robinson [CC BY-SA 2.0 (http://creativecommons.org/licenses/by-sa/2.0)], via Wikimedia Commons. 10 October 2008.
 รูปปั้น Apollo and the Golden Bow ท่านี้พร้อมคันธนูและลูกศรทอง
ในฐานะเทพแห่งศิลปะการยิงธนู. มีท่าอพอลโลถือพิณ ที่เจาะจงว่าเป็นเทพแห่งดนตรี
รูปปั้นพร้อมพิณดูจะแพร่หลายกว่า
 Apollo and the Golden Bow
ภาพจาก countrylife.co.uk
มุมนี้เห็นรูปปั้นทั้งสองและปิรามิด

การสร้างรั้วแต่เดิมคือสร้างกำแพงสูงกั้นและบอกเขตพื้นที่ ในระบบการสร้างภูมิทัศน์แนวใหม่ ให้กำแพงจมลงจากระดับพื้น เห็นภูมิประเทศไกลออกไปอีก ปกติพื้นที่ติดกับสวนของปราสาทหรือคฤหาสน์มักเป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์(pasturage) ภาพสัตว์เดินแทะเล็มหญ้าในทุ่งเป็นอีกทิวทัศน์หนึ่งที่เสริมความงามและความสงบสุขของภูมิทัศน์ในฝัน(idyllic)ที่ชาวตะวันตกชื่นชอบ สัตว์ยังช่วยลดงานตัดหรือดายหญ้าที่เป็นงานหนัก.
กำแพงแบบนี้เรียกกันว่า Ha-ha. ในอังกฤษ Charles Bridgeman เป็นคนแรกที่คิดทำขึ้น ต่อมา William Kent ได้ใช้กรรมวิธีนี้ในการจัดสวนภูมิทัศน์. ในฝรั่งเศส กำแพง ha-ha แบบนี้ทำกันก่อนแล้วตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 17 และนำไปใช้ในบริเวณ Hameau de la Reine ที่สร้างขึ้นในปี 1783 สำหรับพระนาง Marie Antoinette ส่วนหนึ่งในอุทยาน Petit Trianon (cf. Versailles). ชื่อ ha-ha มาจากการอุทานด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นกำแพงแบบนี้ ในทำนอง ฮะ! นี่หรือกำแพง!”. หากพื้นที่อยู่ในระดับเดียวกัน ก็ขุดดินลงให้ลึกเป็นร่อง ยาวเป็นแนวไปตลอดพื้นที่เลี้ยงสัตว์ ลึกพอที่กันไม่ให้สัตว์ขึ้นลงหรือกระโดดข้ามไปเพ่นพ่านในฝั่งสวน.
842U at English Wikipedia [GFDL (http://www.gnu.org/copyleft/fdl.html) or CC BY-SA 3.0 (http://creativecommons.org/licenses/by-sa/3.0)], via Wikimedia Commons. 22 November 2013.

 จากบริเวณสระน้ำพุ Atlas Fountain พื้นที่ค่อยๆลาดต่ำลง
สู่ South Lake มีน้ำพุ Prince of Wales Fountain อยู่กลางทะเลสาบ
 
เส้นทางถนนเส้นสำคัญจากคฤหาสน์ อยู่บนเนินสูงกว่าทะเลสาบ เดินไปสุดทางที่ปราบเตียน เห็นตรงกลางพื้นสนามวงกลม มีฝาปิดพร้อมคำกำกับไว้บนฝาว่า Time Capsule Buried by George Howard Chairman of the British Broadcasting Corporation on 17th November 1982 not to be opened till 3982. น่าจะเป็นหลุมลึก ภายในฝังกล่องบรรจุเอกสารและวัตถุบางอย่างของยุคปัจจุบันเพื่อให้เป็นข้อมูลสำหรับอนาคตเมื่อมีคนไปขุดพบในสองพันปีข้างหน้า เรียกกล่องแบบนี้ว่า Time Capsule. George Howard เจ้าของคฤหาสน์(ในตอนนั้น)ให้ทำขึ้น เขาเป็นประธานบอร์ด BBC ยุคนั้นด้วย เป็นยุคที่ชาวโลกกำลังตื่นตัวเรื่องอนาคตของวัฒนธรรมที่อาจสูญหายไป จึงอยากทิ้งข้อมูลเกี่ยวกับยุคสมัยไว้ เจาะจงด้วยว่า ห้ามเปิดไปจนถึงปีคศ.3982.  นึกถึงเนื้อหาในภาพยนตร์ The Planet of the Apes (1968) ที่กระเทาะเปลือกความเป็นคน สังคมคนที่คิดว่าฉลาดกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เมื่อกาลเวลาผันผ่านไปสู่อนาคต คนกลายเป็นทาสของลิง. ทุกคนคงจำ Charlton Heston ในเรื่องนี้ได้.
 ฝาปิดหลุมลึกที่ฝัง Time Capsule ของ George Howard
จากตรงนี้ เดินไปตามทางสนามหญ้า Temple Terrace มองเห็น South Lake ทางขวามือทอดอยู่ข้างล่าง สังเกตแนวกำแพงเตี้ยๆที่คั่นพื้นที่ต่างระดับแต่ไม่กั้นหรือปิดบังทัศนมิติเลย. บนเส้นทางนี้ มีรูปปั้นตั้งเรียงเป็นระยะๆ. สุดทางเดินนี้คือที่ตั้งของวิหารลมหรือ Temple of the Four Winds.
บนสนามใกล้คฤหาสน์ รูปปั้น Silenus อุ้มทารก Bacchus
 มองไปทางทะเลสาบ South Lake
Silenus เป็นครูของ Bacchus ผู้เติบโตขึ้นเป็นเทพแห่งไวน์. ในศิลปะ เป็นคนแก่ขี้เมา ใบหน้ากว้างแบน ติดตามไปในขบวนการกินการดื่มของ Bacchus เสมอ. Bacchus (Silenus กับคณะ รวมทั้ง Ariadne ภรรยาของ Bacchus) รวมอุปนิสัยใจคอที่ยึดติดในเรื่องกามคุณเป็นสำคัญ เช่นการเล่นละคร การเต้นรำทำเพลง ดีดสีตีเป่า จนถึงความเพ้อคลั่งแบบต่างๆ. เป็นที่มาของสำนวน Bacchanalia ที่สะท้อนความสนุกสนานในการดื่ม การเมาและการปล่อยตัว(ตัวละครมักเปลือยหรือเสื้อผ้าหลุดลุ่ย) เป็นแบบฉบับของงานรื่นเริงของชาวประชายุคโรมันก่อนคริสตกาล. เป็นเนื้อหาหนึ่งที่ปรากฏจำหลักลงบนหีบศพหิน (sarcophagi) เสมอมาด้วย ประหนึ่งจะเน้นว่าชีวิตนี้สั้นนัก จงทำตัวให้เป็นสุขเมื่อยังมีโอกาส. ต่อมา เป็นเนื้อหายอดนิยมเนื้อหาหนึ่งในศิลปะยุคเรอแนสซ็องส์. ในสวนใหญ่ๆเกือบทุกแห่งมีรูปปั้น Bacchus เสมอ เตือนให้ผ่อนคลายพร้อมๆกับย้ำให้เห็นความเมามายไร้สติ.
รูปปั้น Bacchus เติบโตเป็นหนุ่ม มือหนึ่งถือช่อองุ่น ยกขึ้นเหนือหัว
เหมือนยกองุ่นและไวน์ ขึ้นเหนือสิ่งอื่นใด
มองดูสนามอันกว้างใหญ่ที่ทอดจากสระน้ำพุแอ๊ตลาซ ไปยังที่ตั้งรูปปั้น Bacchus  
บนทางเดิน Temple Terrace
 รูปปั้นเฮอคิวลิซ เรียกรูปปั้นลักษณะนี้ว่า Farnese Hercules
ตามแบบรูปปั้นหินอ่อนรูปดั้งเดิมที่ประดับพระราชวัง Palazzo Farnese
ที่กรุงโรม  ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติที่เมืองเนเปิล. 
สวนใหญ่เกือบทุกสวน สร้างรูปปั้นเฮอคิวลิซในท่านี้ประดับด้วยเสมอ.
รูปปั้น Meleager เขาเป็นวีรบุรุษคนหนึ่งเล่าไว้ในตำนานกรีก ว่าเป็นผู้ฆ่า Calydonian Boar ที่มาก่อกวนทำร้ายคนและทำลายรากต้นองุ่นเสียหายมาก จนต้องจัดคณะเพื่อออกล่าหมูป่าตัวนั้น สรุปย่อๆว่า  Meleager ฆ่าหมูป่าได้. รูปปั้นท่านี้มือซ้ายวางบนหัวหมูป่าที่เขาฆ่าได้ สุนัขล่าเนื้อคู่ใจแหงนหน้าดูนายอยู่ข้างๆ. สร้างลอกเลียนรูปปั้นหินอ่อนที่ประดับอยู่ในพิพิธภัณฑ์กรุงวาติกัน. เช่นกันเนื้อหาล่าสัตว์เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในสวน เพราะเป็นงานอดิเรกของชนชั้นสูง เป็นการฝึก เป็นวิธีสร้างคนแบบหนึ่งในสมัยก่อน. ปัจจุบันมีการรณรงค์ห้ามเกมส์ล่าสัตว์ในทุกประเทศในยุโรป แต่ก็ยังแอบทำกันในวงส่วนตัว.
รูปปั้น Belvedere Antinous
เล่ากันว่า Antinous เป็นเด็กหนุ่มกรีกผู้หล่อเหลา คนโปรดของจักรพรรดิ Hadrian ถึงกับให้ช่างเนรมิตรูปปั้นหินอ่อนของเขา. ความงามของวัยเยาว์ย่อมเทียบกันได้กับฤดูใบไม้ผลิที่นำแสงสว่างความเบิกบานมาสู่สวน. รูปปั้นตะกั่วนี้ลอกเลียนจากรูปปั้นหินอ่อนที่ประดับสวน Belvedere ในวาติกัน จึงกำกับชื่อสถานที่ลงหน้าชื่อด้วย.
 
บนทางเดิน Temple Terrace มองย้อนกลับไปยังคฤหาสน์
เห็นชัดว่าพื้นที่ลาดลงไปสู่ South Lake
ด้านหลังของรูปปั้นทุกรูป มีเก้าอี้ตั้งไว้ให้นั่งพักชมวิว
รูปปั้น Borghese Gladiator
ลอกเลียนรูปปั้นหินอ่อนที่เคยประดับ Villa Borghese ในกรุงโรม
ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์เลอลูฟวร์(Le Louvre). 
ท่านักรบดาบโรมัน เป็นที่สนใจกันมาก ศิลปะกรีกโรมันเน้นการปั้นรูปร่างให้สมสัดส่วนงามสมดุลที่สุด ให้ความงามของกายเสริมสร้างและสะท้อนจิตใจที่(ควร)งามด้วย อีกความฮึกเหิมในการศึก เป็นคุณธรรมทหารที่อาจนำไปสู่การพัฒนาคุณธรรมด้านอื่นๆ  การเสนอความเปลือยให้ปรากฏในประติมากรรมกรีกและโรมันยุคโบราณ สวนกระแสศิลปะทั่วไปในโลกโบราณ ที่ความเปลือยเป็นตัวชี้บอกความตกอับหรือการพ่ายแพ้ ตัวอย่างชัดที่สุดในคริสต์ศิลป์ เมื่ออาดัมกับอีฟรู้สำนึกว่าตัวเองเปลือย เกิดความอายเป็นครั้งแรก ต้องเอาใบไม้มาปกปิดร่างกายและเข้าใจว่านั่นคือการลงโทษของพระเจ้า.
วิหารลมหรือ Temple of the Four Winds เป็นสถาปัตยกรรมแบบกรีกโรมัน ที่เป็นรากฐานของสถาปัตยกรรมคลาซสิก เน้นความสมดุลของการออกแบบและการก่อสร้างพร้อมองค์ประกอบสถาปัตยกรรม. มีตำราสถาปัตยกรรมแจกแจงอย่างละเอียดและสมบูรณ์ทุกขั้นตอน เป็นมรดกจากโลกโบราณในตะวันตกที่มีค่ายิ่ง (cf. Vitruvius).
Temple of the Four Winds
โดมกลมเหนืออาคารสี่เหลี่ยมลูกเต๋า มีส่วนที่ยื่นออกเป็นหลังคา(portico)สี่ด้าน
 จากสนามหน้าวิหารลม เห็นสะพาน New River Bridge
สะพานเป็นอีกองค์ประกอบสถาปัตยกรรมที่ขาดไม่ได้ในสวน ที่มีนัยสำคัญยิ่งในหลายมิติ
มองจากสนามหญ้าที่อยู่ในระดับต่ำลงไป
Sir John Vanbrugh(1664-1726) สถาปนิกชาวอังกฤษพัฒนาศิลปะบาร็อคขึ้นใช้ในอังกฤษได้อย่างลงตัวสมบูรณ์ที่สุด โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาผลงานของเขาที่ Blenheim Palace และที่ Castle Howard. เขาเป็นผู้ออกแบบวิหารลมนี้ในปี1724. เดิมเรียกวิหารไดแอนา เมื่อเขาถึงแก่กรรมในปี1726 ภายในยังไม่เสร็จ Francesco Vessalli เป็นผู้ตกแต่งภายในต่อจนเสร็จสมบูรณ์ในปี1738. เขาใช้เทคนิคของงานปูนปั้นเนรมิตให้ดูเหมือนหินอ่อน(scagliola เช่น stucco) ที่เริ่มขึ้นในศตวรรษที่17 เพื่อทดแทนการใช้หินอ่อนที่ราคาสูง เทคนิคนี้แพร่หลายต่อมาจนทุกวันนี้. อาคารนี้เคยใช้เป็นที่พักผ่อน ที่พักกินขนมน้ำชาและอ่านหนังสือ. ดังเห็นในภาพว่าตำแหน่งที่ตั้งของอาคารนี้ มองภูมิประเทศไปได้สามร้อยหกสิบองศา พาจินตนาการไปไกลสุดขอบจักรวาลเลย. ชั้นใต้พื้นของวิหารลม เป็นพื้นที่ครัวสำหรับเก็บและตระเตรียมอาหาร. วิหารลมนี้ ปกติปิด จะเปิดในบางโอกาสเท่านั้น (ดูพื้นที่ภายในได้จากอินเตอเน็ต). ปัจจุบันเขาให้เช่าเพื่อจัดงานเลี้ยงที่นี่ เช่นงานแต่งงาน.
ศิลปินเนรมิตรูปปั้นสตรีสี่รูปแทนลมสี่ลูก ณวิหารตรงนั้น ตำแหน่งของรูปปั้นไม่ตรงกับสี่ทิศจริงๆ. เป็นที่รู้กันว่าสำนวนนี้ในคัมภีร์เก่าหมายถึงสี่ทิศ โดยปริยายหมายถึงโลกทั้งโลกหรือทั่วทั้งสวรรค์. นักเทวศาสตร์อาจตีความไปได้ว่า ลม คือ จิตวิญญาณ และอาจโยงไปเป็นภาพลักษณ์ของเทวทูต รวมถึงความหมายเชิงอุปมาอุปมัยของการสู้กับพลังธรรมชาติที่มากับลมทิศต่างๆ เช่นสู้กับความหนาวเย็นของลมเหนือ ความร้อนของลมใต้ ความรุนแรงของลมตะวันออกและสู้กับสายฝนที่มากับลมตะวันตกเป็นต้น. วิหารลมนี้เป็นฉบับย่อ เมื่อเทียบกับหอลมแปดทิศที่สร้างขึ้นในราวศตวรรษที่หนึ่งก่อนคริสตกาลที่กรุงอาเธนส์ ที่เคยเป็นทั้งนาฬิกาแดดและนาฬิกาน้ำที่มีประสิทธิภาพจริง. นึกถึงบทสวดคาถาป้องกันภัยสิบทิศ ที่นอกจากทิศทั้งแปดแล้ว ยังรวม "อากาศและปฐพี"เข้าเป็นสิบทิศ ครบวงจรที่สุดสำหรับชีวิตมนุษย์เดินดิน. (ยังมีหอลมเด่นๆในยุโรปอีกหลายแห่งที่น่าตามไปดู น่าศึกษาประสิทธิภาพของหอแต่ละแห่ง ที่เป็นพยานความเป็นอัจฉริยะของสมองคน เช่นภายในวาติกัน. หอลมยุคปัจจุบันที่ก้าวหน้าไปไกลกว่าหอใด คือหอลมที่โยโกฮามาประเทศญี่ปุ่น ตามด้วยหอลมที่กรุงโตเกียว).
 รูปปั้นประดับวิหารลม (ไม่อาจเจาะจงได้ว่าใครเป็นใครหรือแทนลมทิศใด).
ไกลออกไปบนฝั่งซ้ายของแม่น้ำ เป็นที่ตั้งของ Mausoleumของตระกูล Howard. Charles Howard เอิร์ล(Earl)คนที่สามของตระกูลต้องการสร้างอาคารฝังศพขนาดใหญ่สำหรับทุกสมาชิกในตระกูล. ได้ให้เริ่มสร้างในปึ1729 ตามแบบแปลนของ Hawksmoor ที่เป็นอาคารทรงกระบอกตั้งบนฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส. แต่ Hawksmoor ถึงแก่กรรมในปึ1736 ก่อนที่อาคารจะสร้างเสร็จ เมื่อCharles Howard ถึงแก่อนิจกรรมสองปีต่อมา อาคารสุสานก็ยังไม่แล้วเสร็จ. ต้องนำร่างของท่านไปฝังไว้ชั่วคราวที่วัด St. Martin’s Church ที่อำเภอ Bulmer อยู่ห่างออกไปราว5กิโลเมตร. ระหว่างนี้ Henry Howard (เอิร์ลคนที่สี่)ได้ร่วมกับเพื่อนสถาปนิกหนุ่มๆอีกสองคน (Sir Thomas Robinson และ Lord Burlington) ปรับและแปลงอาคารสุสานให้เป็นไปตามแบบสถาปัตยกรรม Palladianism ที่กำลังเป็นที่นิยมกันมากในอังกฤษศตวรรษที่18. อาคารสุสานที่เห็นในปัจจุบันเป็นแบบที่เบนไปจากแบบดั้งเดิมของ Hawksmoor. 
 ภาพมุมกว้างทางอากาศ
 ภาพจาก Pinterest.com

ไม่มีทางเดินสำหรับบุคคลภายนอกไปถึง Mausoleum

ร่างของ Charles Howard ได้ถูกย้ายไปฝังในอาคารสุสานนี้ในปี1741. ภายในเป็นวัดสำหรับประกอบพิธี มีชั้นใต้พื้น(crypt) ที่จัดเป็นซุ้มเป็นแอ่ง 63 แห่ง สำหรับเป็นที่ตั้งของโลงศพของสมาชิกในครอบครัว. จนถึงปัจจุบันยังคงเป็นสุสานของสมาชิกตระกูล Howard.

เมื่อลงจากเนินที่เป็นที่ตั้งของ Temple of the Four Winds เดินเลียบฝั่งน้ำที่เรียกว่า Temple Hole มองย้อนกลับไปชมทิวทัศน์ที่ตั้งของอาคารสุสาน.

ผืนน้ำส่วนที่เรียกว่า Temple Hole

เดินกลับไปในทิศสู่สระน้ำพุแอ๊ตลาซ มีน้ำตกเล็กๆขั้นพื้นน้ำสองระดับ ด้านล่างมองไปยังสะพานและอาคารสุสาน ด้านบนมีทางเดินเชื่อมต่อกับ South Lake.

เส้นทางนี้เป็นทุ่งหญ้าเลียบ Temple Hole  บันไดน้ำตกเตี้ยๆเพิ่มอีกหนึ่งมิติเข้าในภูมิทัศน์. บันไดเป็นทางผ่านเข้าสู่สวรรค์ดังปรากฏเล่าไว้ในคัมภีร์เก่าหลายตอน บวกรูปแบบจนถึงความอลังการของบันได รวมกันเป็นส่วนที่ขาดไม่ได้ในสถาปัตยกรรม. นอกจากนี้น้ำตกก็เป็นองค์ประกอบถาวรของสวนอังกฤษ. การไหลของน้ำหนึ่ง รูปลักษณ์น้ำที่ตกลงหนึ่งกับเสียงน้ำไหลอีกหนึ่ง กระทบประสาทสัมผัส เขย่าอารมณ์ความรู้สึกและแทรกซึมเป็นคลื่นในจิตวิญญาณคนเสมอ.

ผ่านรูปปั้นที่กำกับชื่อไว้ว่า Shepherd Boy

รูปปั้นในสไตล์ชาวบ้านชนบท(Arcadia)

เป็นรูปปั้นเดียวในสวนที่มิได้สร้างลอกเลียนจากรูปปั้นยุคโบราณ.

ศตวรรษที่18 เริ่มยุคการสร้างรูปปั้นพร้อมเครื่องแต่งกาย แม้ว่าสังคมเริ่มสนใจเรื่องเสื้อผ้ามากขึ้นแล้วในยุคเรอแนสซ็องส์ แต่สำหรับรูปปั้น ยังนิยมรูปปั้นเปลือยตามแบบศิลปะกรีกโรมัน. เครื่องแต่งกายได้กลายเป็นเอกลักษณ์ใหม่ของสังคม เป็นเครื่องหมายบอกสถานภาพ การศึกษา อาชีพฯลฯ. 

เดินมาทาง South Lake ก็ยังเห็นอาคารสุสานและสะพาน

มองไปอีกฝั่ง ก็เห็นรูปปั้นที่ได้หยุดดูบนเส้นทาง Temple Terrace สู่วิหารลม

นี่เป็นอัจฉริยะของสวนภูมิทัศน์อังกฤษที่เริ่มขึ้นตั้งแต่กลางศตวรรษที่18 กับสถาปนิกสวนคนสำคัญที่สุดในประวัติการสร้างสวนคือ Lancelot “Capability” Brown (1716-1783). ไม่ว่าจะมองจากมุมใด เป็นได้เห็นสถาปัตยกรรมองค์ประกอบสวนหรือสิ่งดึงสายตา(eyecatcher)แบบต่างๆ ที่อยู่ไกลออกไปลิบๆ ที่กระตุ้นความอยากรู้และทำให้เดินไปดูใกล้ๆ. สถาปนิกสวนตั้งแต่นั้นมาได้ถางป่า ตัดต้นไม้ แหวกพื้นที่และ“แกะสลัก”พื้นที่ป่าเขาลำเนาไพรที่ทึบและน่ากลัว ให้เป็นสวนสวรรค์บนดิน เป็นภูมิประเทศในอุดมการณ์ สร้างมุมมอง vistas อย่างสุดฝีมือ ที่เปิดเป็นภูมิทัศน์อีกแบบหนึ่งต่อออกไป.

มองจากริมฝั่ง South Lake มีน้ำพุ Prince of Wales อยู่ตรงหน้า, ไกลไปในหมู่ต้นไม้ใหญ่ทางซ้าย เห็นสระน้ำพุแอ๊ตลาซ  ส่วนทางขวา คฤหาสน์ Castle Howard ตั้งเด่นสง่าโอฬาริก.

เดินผ่านหน้าคฤหาสน์ด้านทิศใต้ไปสุดแล้วเลี้ยวขวา จะถึงพื้นที่สวนอีกแห่งที่เรียกว่า Boar Garden เพราะมีรูปปั้นหมูป่าสีขาวๆตรงกลางสนามหญ้าวงกลม (นึกย้อนไปถึงรูปปั้น Meleager นักล่ามือเยี่ยมที่เล่าไว้ข้างบน).

สนามรอบๆกว้างใหญ่มีเก้าอี้ให้นั่งพักดื่มน้ำหรือกินขนมและอาหาร เป็นจุดนัดพบหรือจุดรวมพลของคณะทัวร์ ที่เขาจัดให้อย่างเหมาะสม อาคารที่อยู่ติดกันเป็นที่ขายอาหาร (Fitzroy room) และมี Gift shop ที่ขายหนังสือ(มีให้เลือกหลายหัวข้อทั้งศิลปะ สถาปัตยกรรม สวน พฤกษศาสตร์เป็นต้น), อีกของที่ระลึก รวมทั้งผลิตภัณฑ์อาหารเช่นไส้กรอก หมูรมควันและอื่นๆที่ทำขึ้นบนพื้นที่ของ Castle Howard โดยตรง. มีแทบทุกอย่างบริการอย่างครบวงจร. ความที่มีพื้นที่กว้างขวางมาก เดี๋ยวนี้คณะบริหารของคฤหาสน์จัดเครือข่ายการบริการที่มีประสิทธิภาพ รองรับนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่(เช่นชาวจีน) กลุ่มพิเศษเฉพาะกิจจากองค์กรใดองค์กรหนึ่ง กลุ่มนักเรียนเพื่อการเรียนรู้ กลุ่มบุคคลผู้นั่งรถเข็น ครอบครัว นักเดินทางคนเดียวเป็นต้น.

พื้นที่นั่งภายในห้องอาหาร Fitzroy Room

มีอีกห้องหนึ่งที่รวมอาหารชนิดต่างๆตามเมนูประจำวัน ให้ลูกค้าเลือกซื้อ

กระดาษปิดฝาผนังในห้องอาหารที่นั่น เป็นแบบสถาปัตยกรรมคลาซสิกเกือบทั้งหมด

ในอาคารที่ตั้งร้านอาหาร Fitzroy Room มีส่วนต่อเข้าไปชมวัด(chapel)ของ Castle Howard ดังภาพข้างล่างนี้. ข้าพเจ้าพอใจมาก(ไม่เกี่ยวกับความชอบหรือไม่ส่วนตัว) ดีใจที่จะได้เก็บข้อมูล มีโอกาสถ่ายรูปเป็นตัวอย่างผลงานสร้างสรรค์ของ William Morris (1834-1896) ใน Castle Howard และโดยเฉพาะการประดับตกแต่งภายในวัดที่นั่น เช่นกระดาษปิดฝาผนัง กระจกสีลวดลายใบไม้ดอกไม้ ผ้าม่าน ผ้าบุเก้าอี้หรือปลอกหมอนขนาดต่างๆเป็นต้น (โอกาสหน้าอาจรวบรวมมาพูดถึง ในฐานะที่เขาเป็นผู้นำ the Arts and Craft movement ในอังกฤษ เขามีส่วนช่วยยกฐานะของนายช่างฝีมือแขนงต่างๆ และเบนรสนิยมของชาวอังกฤษสู่การรู้จักชื่นชมและอนุรักษ์ธรรมชาติคนสำคัญคนหนึ่งในประวัติวิวัฒนาการศิลปะในอังกฤษ).

นี่คือภายในวัด Chapel of Castle Howard

ด้านหน้าของคฤหาสน์ ไม่มีถนนตัดตรงเข้าถึงคฤหาสน์

เพราะติดทะเลสาบใหญ่ของดินแดนแถบนั้น

ทิวทัศน์ส่วนหนึ่งของ Great Lake วันนั้นมีคนไปนั่งสเก็ตช์ภาพ

เตรียมตัวกลับ ต้องออกทาง Stable Courtyard

ที่จัดเป็นที่นั่งพักดื่มน้ำชาหรือมุมขายอาหาร ขนม ไอศกรีม

ด้านหน้าของ Stable Courtyard ออกสู่ลานจอดรถ

เลี้ยวซ้าย ใกล้บริเวณต้นไม้ เป็นที่จอดรถเมล์กลับสู่เมืองยอร์ค

สรุปพื้นที่ที่เปิดให้เข้าชมของ Castle Howard

มุมมองทางอากาศ ด้านหน้าของคฤหาสน์หันไปทางทะเลสาบใหญ่

มีบริการเรือในทะเลสาบใหญ่เพื่อชมคฤหาสน์จากบนเรือและชมภูมิประเทศแถบนั้น

ภาพจาก cazadoresdeseries.es



 บันทึกเดินทางของโชติรส โกวิทวัฒนพงศ์ เมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๖๐.

 

เชิงอรรถ

เป็นโชคอนันต์ที่ปราชญ์โบราณเก็บทุกความคิด บันทึกสิ่งที่สังเกตได้ด้วยตาเปล่า และจด “ลางสังหรณ์” จากสัมผัสหรือผัสสะ บวกจินตนาการส่วนตัว ทั้งหมดกลายเป็นมรดก เป็นขุมทรัพย์สำหรับชนรุ่นต่อๆมา  ที่หลายคนมองว่ามันเก่า โบราณ หรือ ล้าสมัย แต่สำหรับคนที่รู้จักมองและมองเจาะลึกข้างหลังภาพ ข้างหลังรูปลักษณ์ เห็นไกลไปถึงความพยายาม ความคิด ความหวัง ความกังวลต่อการคงอยู่และการอยู่รอด ไปจนถึงวิญญาณสร้างสรรค์ การประดิษฐ์ตั้งแต่หินแหลมคมเพื่อล่าสัตว์มาเป็นอาหาร คันไถเพื่อทำไร่ไถ่นา ไปจนถึงอุปกรณ์สารพัดเพื่อเจาะความลึกของแผ่นดิน  หยั่งมหาสมุทรและทะยานขึ้นไปสำรวจท้องฟ้า. สิ่งที่ตกทอดมาทั้งหลายทั้งปวงในอดีตจากทุกยุคสมัย เป็นขุมทรัพย์ของความรู้ ที่เป็นกระดานกระโดดสู่การพินิจพิเคราะห์มาเป็นศาสตร์ต่างๆในปัจจุบัน.
นำตัวอย่างภาพลมมาให้ดูสองภาพ
ภาพนี้จากหน้าหนึ่งในจารึกโบราณที่เขียนด้วยลายมือ เรื่อง Metamorphoses ของ Ovidius (หรือ Ovid ปราชญ์และกวีละติน, 20 BC-17AD มีทั้งหมด15 เล่ม) ฉบับภาษาฝรั่งเศส. กำหนดทิศทางลมสี่ทิศ ตอนบนของภาพคือทิศตะวันออก (Eurus), ทางขวาภาพคือทิศเหนือ (Boreas), ข้างล่างคือทิศตะวันตก (Sephirus)และทางซ้ายของภาพคือทิศใต้ (Auster). ชื่อลมเดียวกันเขียนต่างกันไปได้ในบันทึกโบราณ ตามวันเวลาและยุคสมัยที่ทำขึ้น และย่อมใช้ภาษาละตินที่วิวัฒน์ขึ้นในยุคนั้นๆ.

ภาพจาก Raremaps.com
ภาพลมทิศใหญ่ๆ และลูกลมอีกจำนวนมาก รวมเป็นเข็มทิศลมที่วิเศษมาก

คนยุคโบราณพยายามมองหาต้นกำเนิดของสรรพสิ่ง นี่มาจากไหน แล้วนี่ล่ะมาจากไหน กลายเป็นความหมกมุ่นไม่สิ้นสุด เพราะตามไปหาจุดต้นกำเนิดของสรรพสิ่งไม่ได้. ในที่สุดต้องไปจบลงที่อะไรหรือใครหนึ่งคนที่เป็นต้นกำเนิด ไม่มีทางอื่นใดแล้ว ต้องยอมรับว่า มี“ผู้สร้างโลก”. แต่ละชนเผ่าเรียกผู้สร้างด้วยชื่อต่างๆ และยกให้เป็นพระเจ้าสูงสุดที่มีความสามารถและมีอิทธิฤทธิ์อิทธิพลเหนือมวลมนุษย์. ศาสนาคริสต์เรียกว่า God หรือพระเจ้า ผู้เป็นทั้งจุดเริ่มต้นและจุดจบ(เป็นอัลฟากับโอเมก้า) และเล่าเรื่องพระเจ้าสร้างโลกอย่างไร ในเวลาเท่าไร. เราคุ้นเคยได้ยินเสมอมาว่า พระเจ้าสร้างจักรวาล สร้างโลก ดินน้ำลมไฟ สรรพสัตว์ พืชพรรณทั้งมวลและอาดัมมนุษย์คนแรก.

     พระเจ้าใช้ดินกับน้ำปั้นเป็นรูปร่าง มีความร้อนจากแสงแดดเป็นตัวกระชับให้แข็งเกาะกัน (เหมือนการทำเครื่องปั้นดินเผา ใช้ดิน น้ำและความร้อนจากเตาเผาเตาอบแห้ง). วิทยาศาสตร์สมัยใหม่เจาะจงองค์ประกอบของดินไปถึงขั้นอณูเล็กที่สุด และก็เจาะจงมวลแร่ธาตุทั้งหลายในตัวคนได้เช่นกัน. ย่อๆได้ว่า คนมีแร่ธาตุของดินประกอบอยู่ในตัวด้วย(ไม่ครบทุกชนิด เพราะดินมีมากกว่า) และเกือบ 99% คือ ออกซิเจน คาร์บอน ไฮโดรเจน ไนโตรเจน แคลเซียม และฟอสฟอรัส ที่เหลือเป็นโปตัสเซียม ซัลเฟอร์ โซเดียม คลอไรน์ และแม็กนีเซียม. (ข้อมูลนี้กลายเป็นความรู้ระดับต้นไปแล้ว วิทยาการปัจจุบันได้ไปไกลกว่านี้มากนัก ดีเอ็นเอก็ยังอาจไม่ใช่ความรู้สุดท้าย)

     เมื่อปั้นเป็นรูปร่างคนแล้ว พระเจ้าเป่าลมเข้าในรูปปั้นนั้น เป็นลมปราณจากพระเจ้า ที่ทำให้รูปปั้นนั้นมีชีวิตขึ้นมา นั่นคือนำออกซิเจนเข้าไป. พระเจ้าตั้งชื่อเรียกว่า อาดัม Adam (Genesis 5: 1-2) จากคำในภาษาฮีบรู ‘adam ที่แปลว่า “มีสีแดง” และเมื่อเป็นคำกริยาแปลว่า “ทำ” นั่นคือทำจากดินที่มีสีแดงๆ(จากพื้นโลก) และในที่สุดเป็นความหมายของ “คน”. ชื่อนี้ก็อาจโยงไปถึงคำว่า adamah [อัดดามาหฺ] ที่แปลว่า “ดิน”. รวมความแล้ว ชื่อ อาดัม หมายถึงคน และ/หรือมนุษยชาติ (ไม่ระบุเชื้อชาติ). กำเนิดชีวิตคนที่ศาสนาคริสต์ระบุมาเช่นนี้ สืบทอดมาเป็นวิธีการแสดงภาพของลมที่ง่ายที่สุดตั้งแต่นั้นมาตามแนวคริสต์ศิลป์. ในภาพทั้งสองข้างต้น จึงมีหัวเทพประจำทิศต่างๆทำท่าเป่าลม เห็นกระแสลมพุ่งออกจากปาก. วิธีเดียวกันนี้มาเป็นการเป่าลมปากจ่อปากที่นำมาใช้เพื่อทำให้คนหมดสติฟื้นขึ้น รวมถึงการต่อสายออกซิเจนเข้าทางปากทางจมูกเพื่อยืดชีวิต หรือการนำทารกแรกเกิดเข้าอยู่ในตู้ออกซิเจน เป็นต้น. (ส่วนในศิลปะกรีกโรมัน มักมีเทพเจ้าทั้งร่างถือถุงกระสอบอัดลมไว้เต็ม แล้วเปิดปากถุงกระสอบออก. แบบตะวันออกก็เป็นไปตามแนวนี้).

ภาพวิหารลมแปดทิศที่เก่าที่สุดและยังสมบูรณ์มากที่สุดที่กรุงอาเธนส์ เป็นอาคารหินอ่อนทั้งหลัง สร้างขึ้นในราวศตวรรษที่หนึ่งก่อนคริสตกาล ที่โดดเด่นมากกว่าประติมากรรมเทพแห่งลมแปดทิศตอนบนของหอนี้  คือนาฬิกาน้ำที่เดินด้วยกระแสน้ำที่ต่อมาจากตาน้ำที่ Acropolis รู้จักกันในนามว่า The Clock of Andronicus Cyrrhestes. เมื่อข้าพเจ้าไป เขาปิดไม่ให้เข้า กำลังบูรณะกันอยู่ ปัจจุบันเปิดให้เข้าแล้ว. อยากรู้ว่านาฬิกาน้ำเป็นอย่างไรนะ. อ่านรายละเอียดได้ที่นี่ >>

http://www.ancient.eu/article/1044/      

เป็นบทความและภาพของ Mark Cartwright, ลงเมื่อวันที่ 31 March 2017.


         

No comments:

Post a Comment